27-29 . 07 . 2013
Khao Sok trip w/ ICT friends
The last trip w/ uni friends before leaving to UK
เรื่องราวเดินทางมาถึงวันที่ 2 ของการท่องเที่ยวของพวกเรา
แผนการวันนี้ของพวกเราคือ
เก็บข้าวของ โลกมือลา ภูผาและลำธารรีสอร์ท
เที่ยวสันเขื่อนเชี่ยวหลาน
แล้วไปลงเรือ เพื่อไปยัง แพ 500 ไร่
.
.
เนื่องจากการดูรีวิวมาอย่างโชกโชน
เราจึงพลาดการชมหมอกตอนเช้าไม่ได้เป็นอันขาด
เราและยุ้ย ตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้า
จำไม่ได้ว่ากี่โมง แต่ที่รู้ๆ คือพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดี
เดินขึ้นไปจุดที่คนอื่นถ่ายรูปตอนรีวิว
ที่มีป้าย รีสอร์ทในฝัน แต่มันก็ยักไม่เห็นเหมือนในรีวิว
ภาพที่เห็นคือ หมอกหนา ที่สามารถบังภูเขาข้างหลังไปทั้งลูก
แต่ถึงจะไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้ แต่มันก็ยังสวยอยู่ดี
พอช่วงสายๆ หมอกที่เต็มฟ้าด้านหลัง
จะกลายเป็น สายหมอก ที่ค่อยๆลอยผ่านภูเข้าไปเรื่อยๆ เอื่อยๆ
จะดีมาก ถ้ามีเวลานอนมองดูวิวนี้
อยากอยู่ต่ออีกซักวัน ใช้ชีวิตให้ชิวกว่านี้
คงจะซึมซับพลังกลับไปได้มากโข
.
.
เก็บของเสร็จ เราก้อขึ้นรถตู้ไปสันเขื่อนต่อ
คนขับดุมาก พูดเลย ให้เวลาพวกเราที่สันเขื่อนแค่ 10 นาที
แถมบอกพวกเราด้วยเสียงดุอีกต่างหาก
แต่มีหรือที่พวกเราให้สามารถใช้เวลาถ่ายรูป ณ จุดๆนึง
ได้ภายในเวลา 10 นาที ..
คำตอบคือไม่มีทาง พวกเราเลทอย่างแน่นอน
แต่มันก็ทำให้พวกเราต้องรีบดู รีบถ่ายแบบรวดเร็ว
แต่พวกเราก้อยังไม่วายได้รูปรวมมาอยู่ดี
.
.
หลังจากวิ่งขึ้นรถตู้ เพราะเลยเวลามาพอสมควร
ก็ถึงเวลาที่รอคอย ที่เราจะไปเที่ยว เขื่อนเชี่ยวหลาน
หรือที่พูดกันว่า มันคือ กุ้ยหลินเมืองไทย
เรามารอที่ท่าเรืออยู่ซักพัก
เจอผู้คนมากมาย ตอนแรกนึกว่าไปที่เดียวกันหมด
ยังแอบคิดว่า คนเยอะขนาดนี้เลยเหรอ
แต่จริงๆแล้ว มีคนร่วมเดินทางลงเรือลำเดียวกับพวกเราแค่ 2 กลุ่ม
กลุ่มนึง เป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก และอาม่า
ดูเป็นครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น
เราเลยชอบแอบมองพวกเค้าอยู่บ่อยๆ
ส่วนอีกกรุ๊ป เป็นครอบครัวคนไทย-จีน มีลูกเล็กๆ 2 คน
เจ้าเด็กอ้วน 2 คนนั้น โวยวายเป็นภาษาไทย สลับจีนตลอดเวลา
แถมตอนหลัง ได้มาอยู่ห้องข้างๆกันอีก
เลยได้ฟังเสียงเอะอะโวยวายเป็นระยะๆ
จนตอนหลังเริ่มเอ็นดู 555
นั่งเรือกันอย่างยาวนาน ประมาณเกือบ ชม ได้
บรรยากาศระหว่างทาง เป็นภูเขาหินปูนเรียงรายกัน
สาเหตของคำว่า กุ้ยหลินเมืองไทย
บรรยากาศรอบๆ มันชิวจริงๆ
ถึงแม้ว่า น้ำจะสาดกระเซ็นมาโดนหน้า โดนตัวอย่างต่อเนื่อง
ก่อนเรือจะเล่นไปยังที่พัก
ไกด์ได้พามาชม เขาสามเกลอ ที่เป็นจุดท่องเที่ยวของที่นี่
เป็นภูเขาฟิน 3 ลูก เล็กๆ เรียงรายอยู่กลางเขื่อน
.
.
ไกด์ให้เราได้แวะถ่ายรูปกันแปร๊บนึง
แล้วก้อเดินทางต่อไปยังที่พักคืนที่ 2 ของพวกเรา
. .. แพ 500 ไร่ .. .
เราเลือกพักที่นี่ เพราะมีห้องน้ำส่วนตัว และห้องติดแอร์
ถึงแม้ว่า ราคาจะแพงกว่าที่พักอื่นๆในเขื่อนแบบหูฉี่
แต่ก้อยอม เพราะมันอาจจะเป็นแค่ครั้งเดียวในชีวิต
ขอให้ชีวิตแบบมีแฮปปี้ๆ ละกัน
อาหารมื้อแรก หลังจากมาถึงที่พัก
เป็นอาหารไทยแบบบุฟเฟ่ต์
ตักกันแบบเต็มที่ อร่อยทุกอย่างเลย บางอย่างเป็นอาหารใต้
ได้กินที่นี่เป็นครั้งแรก จำชื่อไม่ได้แต่ประทับใจ
กินเสร็จก็เข้าที่พัก มี issue นิดหน่อย
สืบเนื่องจากประตูบ้านหลังนึงของพวกเราแตกไป 1 บานเมื่อคืน
แต่สุดท้ายก็เคลียร์กันไปได้ด้วยดี
บ้านพัก มี 2 แบบ แบบติดแอร์ กับไม่ติดแอร์
แต่ละหลังมี 2 ชั้น พักได้ 4 คน
แต่ชั้นข้างบน จะเป็นเหมือนห้องใต้หลังคา ลูกเมียน้อยนิสนึง
เรากับยุ้ยนอนตรงนั้น แต่ชอบนะ แปลกดี 555
หลังจากเก็บของเสร็จ จริงๆเรียกว่ากองเสร็จดีกว่า
พวกเราก็ออกไปน้ำตกกัน ได้แถมมาตอนซื้อทัวร์
ตอนแรก อยากไปถ้ำปะก่ารัง กับแพ 500 ไร่เก่า
แต่เค้าบอกว่าฝนตกติดกันมาหลายวัน
เลยไม่แนะนำให้ไป เลยอดไป ผิดจากที่ตั้งใจไว้เลย
.
.
พวกเราแล่นเรือออกไปยังน้ำตก
โชคดีมาก ที่ไม่มีใครพกมือถือ หรือกล้องมา
เพราะน้ำตกนี้ ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์การเที่ยวน้ำตก
ที่ท้าทายที่สุดในชีวิตอีกครั้ง
หลังจากที่พวกเราร่วมเผชิญกันมาจากทริปเชียงรายมาแล้วครั้งหนึ่ง
ต่อไปนี้ ถ้าจะไปน้ำตกอีก คงต้องดูรีวิวดีๆ
เพราะถ้าจะต้องไฟท์ขนาดนี้ ก็ไม่ไหวนะ
ยุ้ยพูดว่า ถึงว่า ทำไมไม่มีคนรีวิวน้ำตกนี้
คงเพราะ ไม่มีใครเอากล้องไปถ่ายรูปได้อย่างสบายใจนี่เอง
น้ำตกที่พวกเราไป กว่าจะขึ้นไปจุดที่เล่นน้ำได้นั้น
ตั้งเดิน ปีนป่ายหินสวนทางน้ำขึ้นไป
บ้างก้อชัน บ้างก้อลื่น บ้างก้อแหลมบาดเท้า
ได้ออกกำลังแขนขาอย่างเต็มที่
กว่าจะไปถึงจุดเล่นน้ำ ใช้เวลาเป็นสิบนาที
พอไปถึง ถึงกับชอค น้ำในแอ่งตื้นมาก จุดลึกสุดไม่รู้เลยเอวรึป่าว
ไหนที่เค้าบอกว่า ฝนตกหลายวัน น้ำเยอะ น่าไป
นี่โดนหลอกรึป่าว ยังสงสัยอยู่
ก้อนั่งแช่น้ำเย็นๆกันอยู่ซักพัก ให้พอคุ้มกับที่ปีนขึ้นมา
เปิดวงเล็บว่า ว่ายไม่ได้ ลึกไม่พอ
พอมีกรุ๊ปอื่นมา พวกเราก็ขอบายดีกว่า แค่นี้ก้อไม่มีที่จะยืนแล้ว
ขาลง ดูจะทุลักทุเลกว่าขาขึ้น เพราะน้ำก้อพัดแรงในบางจุด
ต้องก้าวอย่างมีสติ แต่สุดท้ายเราก้อพลาด
ลื่นล้มจนได้ ตอนใกล้จะถึงเรือแล้วด้วย เจ็บตรงนี้
.
.
กลับมาถึงที่พัก พวกเราก้อมาพายเรือคายัคเล่นกันหน้าบ้าน
เรือมี 4 ลำ แต่ที่สมประกอบจริงๆมีแค่ 2 ลำ
อีก 2 ลำ มีรูรั่ว น้ำเข้าใต้ท้องเรือ
ทำให้ยุ้ยริดที่พยายามจะขึ้นเรือเท่าไหร่
ก็ขึ้นไม่ได้ซักที ขึ้นปั๊บคว่ำ ขึ้นปั๊บคว่ำ
ทั้งปีน ทั้งดันเรือกันจนเหนื่อย กว่าบิ๊กจะค้นพบว่าเรือมันรั่ว
ส่วนกานต้น ก้อคว่ำเหมือนกัน
แต่ไม่ใช้เพราะเรือรั่ว แต่เป็นเพราะน้ำหนักของต้นต่างหาก
สังเกตได้จากรูปด้านล่าง ท้ายเรือจมอย่างเห็นได้ชัด !!
.
.
เนื่องจากมีเรือใช้ได้แค่ 3 ลำ
เรา บิ๊ก ติรกร จึงนั่งมองเพื่อนๆที่เหลือ พายเรือกันอย่างสนุกสนาน
และแล้ว ก้อเกิดภาพไม่คาดฝันขึ้น
เมื่อเรือของกาน และต้น ได้คว่ำอยู่กลางเขื่อน
((บุรินมาสารภาพภายหลังว่า มันขับเรือไปชนเรือของต้น
น้ำเลยเข้าเรือ และล่มในเวลาต่อมาอีกไม่นาน))
พายคายัคมาก็หลายต่อหลายครั้ง
ไปพายกลางทะเลก็เคย ไม่เคยเห็นเรือคว่ำซักครั้ง
มีทริปนี้เนี่ยแหละ ที่คว่ำเอาๆ เปิดประสบการณ์ใหม่ให้ชีวิตมากๆ
พวกมันพยายามจะผลักเรือ กันอย่างทุลักทุเล แต่ก้อไม่สำเร็จซักที
พวกเราอยากจะช่วยก็ไม่รู้จะไปช่วยยังไง
สุดท้าย พวกมันคงหมดความพยายามในการกลับขึ้นเรืออีกครั้ง
จึงเกิดเป็นภาพนี้ขึ้นมา
กานกับต้น เกาะเรือยุ้ยริดกลับเข้าฝั่ง
ส่วนบุริน พายเรือลากเรือของสองคนนั้นกลับมา
แต่ใครจะไปรู้ว่า .. .
เมื่อมีคนอีก 2 คน มาเกาะเรือคายัคแล้วนั้น
ยุ้ย กับริดจะพายเรือแล้ว เรือเคลื่อนที่ได้เสมือนหยุดนิ่ง
ตอนแรกคิดว่า น้ำจะช่วยพยุงน้ำหนักซะอีก
ทฤษฎีนี้คงไม่ถูกเสมอไป โง่ฟิสิกส์ซะด้วยเลยไม่รู้ว่าทำไมถึงพายไม่ไป
กลายเป็น เพื่อนผู้โชคร้าย 2 คน ต้องพยายามว่ายน้ำเข้าฝั่งเอง
ซึ่ง ฝั่งที่ว่านั้น อยู่อีกไกลลิบลับมาก มองเห็นกานต้น ตัวยังไม่เท่าหัวแม่มือ
สุดท้าย ก้อว่ายน้ำกันไม่ไหว ต้องเรียกยุ้ยริดกับไปรับ
ทุลักทุเลกันมากกว่าจะกลับมาถึงฝั่ง
หลังจากที่เพื่อนกลับเข้ามาแล้ว
ก็ถึงเวลาพายของเราบ้าง
เรากับบิ๊กพายออกไปไกลว่าที่คนอื่นพายกัน
ถึงตอนแรก บิ๊กจะกลัวเรือล่ม แต่เราคิดว่ามันไม่น่าจะล่มได้
พายกลางทะเลเจ็ดแปดกิโลยังพายมาแล้ว
เอาอะไรกับแค่นี้
หลังจากเกลี้ยกล่อมมันไปซักพัก
สุดท้ายมันก็ยอมพายออกจากฝั่งไปไกลๆ ตามคำขอ
แค่พอกลับมา แต่จะเอาไม้พายตีหัวเราก้อเท่านั้นเอง -*-
.
.
หลังจาก activities ที่แสนหนักหน่วง
มาเจออาหารบุฟเฟ่ต์ตอนเย็น เลยกินแบบไม่คิดชีวิต
ปิดท้ายด้วยของหวาน กล้วย 500 ไร่
เป็นเหมือนกล้วยบวชชีที่ใส่นม อร่อยสุดดด
คืนนี้ ไม่ค่อยได้มีกิจกรรมตอนกลางคืนซักเท่าไหร่
เนื่องจากความอ่อนล้า
พวกเราจึงแยกย้ายกันไปนอนเอาแรงก่อนเวลาอันควร
หมดไปอีก 1 วัน พรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว
ใกล้จะหมดเวลาสนุกแล้วซิ
.
.
วันที่ 3 *
พวกเราตื่นมาส่องสัตว์กันแต่เช้า
มีกาน ต้นที่ตื่นไม่ไหว ขอนอนต่อดีกว่า
เรือไปจอดอยู่จุดหนึ่งกลางเขื่อน ไกด์ให้พวกเราสังเกต
ชะนี และนก ที่อยู่บนยอดต้นไม้ สูงลิ่ว
ต้องใช้ทักษะการสังเกตระดับสูงถึงจะมองเห็น
ต่อด้วยดูภาพผู้หญิง 3 คนบนภูเขา ในรูปด้านล่างนี้
บอกเลยว่าต้องใช้สกิลการสังเกตขั้นเทพเช่นเดียวกัน
อยากจะรู้ว่าคนค้นพบเค้าเจอได้ยังไง
เวลาแห่งความสุขมักผ่อนไปอย่างรวดเร็ว
พวกเราเดินทางมาถึงเที่ยงวันที่ 3
ที่ต้องรีบไปขึ้นเครื่องบินกลับ กทม.
เนื่องจากทริปเชียงราย ที่พวกเราต้องวิ่งขึ้นเครื่องกันอย่างหัวซุกหัวซุน
พวกเราเลือกที่จะรีบไปสนามบินกันดีกว่าในครั้งนี้
เราเลยได้ไปนั่งกินข้าวเที่ยงสบายใจรอเวลาที่สนามบิน
และกลับถึง กทม โดยสวัสดิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น