การเดินทางที่แสนยาวนาน


ในที่สุด วันที่ 13 กันยายน ก้อมาถึง
หลังจากที่ดำเนินการเรื่องเรียนต่อมาเนิ่นนานน
และแล้ววันนี้ ก็มาถึง แต่ทำไมรู้สึกว่ายังไม่พร้อม
แบบนี้เค้าเรียกว่า ป๊อด รึป่าว

เครื่องออก 20.35 แม่ให้ออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายโมง
เผื่อเวลาแบบรถชนยังไปทัน
ไปถึงสนามบินประมาณบ่าย 3 คิดว่าเร็วแล้ว
แต่บิ๊กดันไปถึงก่อนเรา ตามมาด้วยปิงกับมี้ และป้าแอ๊ด
สองคนนั้นรับตำแหน่งเพื่อนกิตติมศักดิ์ไป
เพราะได้ร่วมจัดและรื้อค้นกระเป๋าทุกใบของเราใหม่ กลางสนามบิน
วุ่นวายเป็นอันมาก กว่าจะเรียบร้อย เหนื่อยจิงๆ



((รูปในกล้องบิ๊กไม่มีรูปรวมครอบครัวที่มีพ่อเลย เศร้าจัง))

เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มาส่งกันเยอะมาก ดีใจมากจิงๆ
ทั้งครีมมี่ เพื่อน 6/6 เพื่อน ICT พี่ๆน้องๆที่ DST มากันพร้อมหน้า
กำลังใจเต็มเปี่ยม พร้อมออกเดินทางเต็มที่
และแล้วก็ถึงเวลาร่ำลา แต่เรายังมีทศสึไปส่งถึงเกทตามธรรมเนียม


การเดินทางไกลครั้งนี้ ไม่ว้าหว่ เพราะมีมิ้นท์ กับเซโกะไปด้วยกัน
พวกเราเดินทางโดยสายการบิน Etihad
นั่งกัน 3 คนริมหน้าต่าง ตรงกับปีกเครื่องบินพอดี๊พอดี
ผู้โดยสารส่วนมากก็เป็นแขก แต่กลิ่นบนเครื่องก็ไม่ได้แรงสมคำร่ำลือ
แต่แถวที่นั่งอยู่ติดกันไปหน่อย ไม่ค่อยมีพื้นที่วางขา แอบอึดอัดเล็กๆ



ขึ้นเครื่องไปถึงก็หิวมากกกก
เพราะตอนอยู่สนามบินวุ่นวายมาก จนไม่ได้กินอะไร
โชคดีที่เซโกะ ลอคอินเข้าไปสั่ง special meal เอาไว้
ทำให้พวกเราได้อาหารก่อนผู้โดยสารคนอื่นๆ
เราสั่งเป็น seafood อาหารก้อนับว่าพอใช้ได้ จานหลักคล้ายๆจะเป็นปลาผัดขิง



แต่ที่ประทับใจสุดคือ น้ำมะม่วง อร่อยมั่ก ไม่รู้ยี่ห้ออะไร อยากกินอีกจัง
หลังจากกินเสร็จ เราก้อนอนยาว ด้วยความเพลีย
ตื่นมาก็ตอนจะใกล้ถึงจุดหมายแรก สนามบินอาบูดาบี  ณ ประเทศ UAE

ลงจากเครื่องตอนประมาณเที่ยงคืน
มาเจอกับกลุ่มคนมหาศาล พวกเรามาต่อคิวตรวจของอีกครั้ง
ก่อนเข้าไปนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องอีกครั้งตอนตี 2 ครึ่ง
ทุกอย่างเรียบร้อยดี เราเลยเหลือมานั่งรอที่หน้าเกทเป็น ชม.
จะซื้อน้ำ ก้อซื้อไม่ได้ ในตัวมีแต่เงินไทยกับเงินปอนด์ :(
ยังดีที่มีเน็ตให้เล่น เลยมีอะไรทำตอนนั่งรอง่อยๆ




พอใกล้ถึงเวลาเราก็ต่อแถวขึ้นเครื่องไปลอนดอน
คนเต็มเครื่องเหมือนเดิม แต่เครื่องที่สอง เราเดินผ่าน business class 
เห็นที่นั่งแล้วอิจฉามาก อยากยืดขาบ้าง
เราเดินทางจาก อาบูดาบีไปฮีทโทรว ใช้เวลาอีก 7 ชม.
หลังจากเครื่องขึ้นได้ซักพัก เราก็นอนต่อ
นอนมาต่อเนื่อง จนไม่ง่วง ตื่นมาเพิ่งได้ 1 ใน 3 ของระยะทางทั้งหมด



พยายามนอนต่อก้อนอนไม่หลับ เลยถึงเวลาได้ใช้บริการ Entertainment บนเครื่อง
นั่งดู Star Trek2 (อีกครั้ง) ความเศร้าคือ ไม่มีซับไทย แม้แต่ซับ Eng ก้อไม่มี
ขนาดเคยดูมาแล้วรอบนึง ยังจำอะไรไม่ค่อยจะได้ 555
ดูไปเรื่อยๆ พอใกล้จะ climax อาหารมื้อสุดท้ายบนเครื่องก็มาเสิร์ฟ
ได้กินก่อนคนอื่นเหมือนเคย คราวนี้เป็น Omelet รสชาติใช้ได้ แต่แอบเลี่ยนนิสนึง
กินเสร็จ ดูหนังต่อ พอใกล้จบ หนังโดนตัด เพราะว่า..

ในที่สุด .. .
เรากำลังจะถึงลอนดอนแล้วววววว


เวลาประมาณ 7 นาฬิกากว่าๆ ของวันเสาร์ที่ 14 กันยายน
เราสามคนเดินทางได้ลงมาเหยียบประเทศอังกฤษโดยสวัสดิภาพ
กับข้าวของแสนพะรุงพะรังของพวกเราทั้งสามคน
พอเดินออกจากเกทได้ซักพัก ก็มาเจอกับแถว ตม ยาวเหยียด
ต่อไปต่อมา พอใกล้ๆ ถึงเพิ่งรู้ว่า แถวนักเรียนที่มาครั้งแรกอยู่อีกแถว
แล้วต้องกรอกเอกสาร และเตรียมเอกสารไปแสดงด้วย
สภาพพวกเราจึงเป็นอย่างรูปข้างล่างนี้


การผ่าน ตม. ก็ไม่ยากอย่างที่แอบกลัว
ตม. ถามคำถามแค่สองสามคำถาม เกี่ยวกับคอร์สที่จะเรียน
แล้วก้อปล่อยเราผ่านข้ามประเทศ :)
และแล้วเราก้อมาถึงอังกฤษโดยสมบูรณ์


เวลาตอนนั้นคงประมาณ 8โมงกว่าๆ
แต่ปัญหาคือ เราจองรถโค้ชไป Norwich ไว้ตอน 12.50
ออกไปนอกสนามบินก้าวแรก หนาวมากกก พูดแล้วควันออกปาก
คิดไปคิดมา ต้องรออีกน๊านนานน ลองไปขอเลื่อนรอบรถดูดีกว่า
และแล้วเค้าก็ยอมให้พวกเราเลื่อนรอบได้ เป็นรอบ 10.30
โดนค่าเปลี่ยนรถไป 5 ปอนด์ แต่ก็ยอม ดีกว่านั่งแกร่วอีกหลาย ชม.



ระหว่างที่รอรถ ก็ผลัดกันไปล้างหน้า แปรงฟัน
และนั่งรถเข็นกินขนมปังทูน่า ที่ได้มาจากเครื่องบิน อยู่หน้าห้องน้ำนั่นแหละ
จนถึงเวลาขึ้นรถ พวกเรานั่งยาวสุดสาย
เส้นทางสองข้างทาง ก็แทบจะไม่เจอเมืองเลย
มีแต่ที่โล่ง เหมือนจะเป็นไร่ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวไป ตลอดทาง


หลับๆตื่นๆ เพราะไม่มีอะไรจะทำ
จนกระทั่งถึง เมืองแคมบริจน์ ที่พวกเราดูจะได้เข้าเมือง
เจอผู้คนที่ข้างทางบ้าง ตึกรามบ้านช่องดูสวยแปลกตา
ผ่าน University of Cambridge คนที่เดินอยู่แถวนั้นล้วนหน้าตาดูมีความรู้
เหมือนเป็นอีกโลกที่ต่างกับบ้านเมืองของเราโดยสิ้นเชิง
ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด



เรานั่งรถต่อมาอีกไม่นาน ก็มาถึงเมือง Norwich
และ ในที่สุด หลังจากการนั่งรถอย่างยาวนานนน ถึง 6 ชม.
เพราะรถดีเลย์ไป ชม. นึง เราก็เริ่มเห็นป้ายชี้ทางไป UEA จุดหมายของพวกเรา
เย้ เยยยย มหาลัยของเรา ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
นั่งเครื่อง นั่งรถจนก้นแฉะ กับการเดินทางที่ยาวนานเป็นวัน
พอมาถึง พวกเราก็ลากกระเป๋า คนละ 3 ใบหนักๆ ลงมาจากรถ
แล้วก็ลงมายืนงง ไม่รู้ว่าต้องไปต่อทางไหน
เท่าที่รู้คือ เราต้องหา Security Lodge เพื่อไปรับกุญแจห้อง
เพราะเราไปถึงวันเสาร์ ไม่มี Accommodation Staff มาคอยดูแล เราจึงต้องดูแลตัวเอง
ลงรถมา ไม่เจอผู้คน เหมือนมหาลัยร้าง เราจึงพุ่งตรงไปหาแผนที่

แต่ก็มีผู้ชายคนนึง ที่นั่งรถมาด้วยกัน ถามพวกเราว่า เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกรึป่าว
เค้าก็ช่วยนำทางเราไปที่  Security Lodge ซึ่งต้องเดินขึ้นเนินไปไกลมากกก
เค้าเดินนำเราไปลิ่วๆ ทั้งๆที่เค้ามีกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบ
ณ จุดนั้น อยากเป็นผู้ชายมาก พูดเลย
พอมาถึง Security Lodge เค้าก็แนะนำตัวว่า ชื่อวิน มาจากเวียดนาม
พร้อมทั้งบอกข่าวร้ายว่า หอของพวกเรา อยู่เลยจุดที่เราลงรถมา
ซึ่งหมายความว่า เราต้องลากกระเป๋าลงเนินกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง
โอว มาย ก้อดดดดด  น่าจะเล่นกล้ามก่อนมา
ถ้าจะต้องแบกลากของทั้งหมด 50กว่าโล เดินไปขึ้นลงเนินไปๆมาๆขนาดนี้



เดินงงๆ หาหออีกซักพัก แถมในใบห้องพักไม่บอกอีกว่าห้องอยู่ชั้นไหน
ก้อต้องเดินงงๆ หาห้องต่ออีก ชีวิตคือการค้นหาจริงๆ
ในที่สุดก็หาห้องเจอ ห้องหมายเลข 72 ชั้น 3 ตึก Constable Terrace
สิ้นสุดการเดินทางซักที ในที่สุดเราก็ถึงที่พักซักที
พร้อมกับความหิวระดับ max
ณ จุดนี้ ไม่ต้องการอาหารระดับภัตราคาร
มาม่าต้มยำ คือที่สุด ฟินสุดละจุดนี้
นั่งกินกันบนพื้น เพราะไม่มีโต๊ะ ใช้ชีวิตกันแบบผู้ดีอังกฤษสุดๆ


แถมมีอีกข่าวร้าย คือ ชุดเครื่องนอนที่พวกเราสั่งไปไม่มาส่งที่ห้อง
ออกไปคนคุมหอ ก้อไม่เจอซักคน แถมที่ร้านปิดวันเสาร์อาทิตย์
ฮีตเตอร์ ก็เครื่องเล็กมาก มีลมร้อนออกมาแค่เหนือเครื่องประมาณ 5 ซม
ไม่ได้ช่วยอะไรเล๊ยยยยย
คืนนี้ เราเลยต้องนอนทนหนาวกัน ห่มผ้าเช็ดตัว
ตื่นมาหลายรอบ มาใส่เสื้อเพิ่ม เพราะทนหนาวไม่ไหว
จนสุดท้าย ไปๆมาๆ ใส่ไป 4 ชั้น
และก็ถึงเวลาพักผ่อนซักที หลังจากการเดินทางที่แสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย
เราก็ได้มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ . .. University of East Anglia (UEA)
และอีก 1 ปี ต่อจากนี้ ที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
หนึ่งปี แห่งการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลง ตื่นเต้นกับมันจริงๆ

: )


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น