First week in Norwich


เผลอแป๊บๆ ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาแล้ว 1 สัปดาห์เต็ม
ได้เรียนรู้ ได้พบเจอ ได้ปรับตัวกับอะไรหลายๆอย่างที่นี่
ที่ๆแตกต่างจากบ้านเราเกือบจะสิ้นเชิง
ที่เหมือนอย่างเดียว คงจะเป็นรถพวงมาลัยขวา
อย่างน้อยเราก็ไม่งงตอนข้ามถนน

การปรับตัวอย่างแรกสุดเลย ก็คงเป็นอากาศ
ตอนนี้ อากาศประมาณ 10 กว่าๆ องศา พออยู่ได้ ถ้าลมไม่พัด
เพราะถ้าลมพัดที ลมเย็นจะทะลุผ่านเสื้อหนาวและกางเกงยีนส์ มาถึงชั้นผิวหนังเราอย่างรวดเร็ว
อยู่ได้ 2-3 วัน เราจึงประสบปัญหาผิวหนังแห้งแตกเป็นลาย
เพราะเป็นคนไม่ชอบทาครีม เลยไม่ได้พกมาซักกะขวด
เข้าเมืองไปซื้อครีมที่ Superdrug ตามคำแนะนำในพันทิพ
ได้ครีมยี่ห้อ E45 มา เป็นครีมที่ข้นมาก ลักษณะคล้ายกาว
ไม่มีกลิ่น และคุณสมบัติอื่นใดนอกจากช่วยฟื้นฟูผิวแห้ง
ใช้ไปได้ 2-3 วัน ประทับใจมาก ริ้วรอยที่ขาเริ่มหายไป ของเค้าดีจริง

ส่วนครีมทาหน้า หยิบของยี่ห้อ Simple มา เนื่องจากมันลดราคา
ถูกมากกก ตกขวดละ 100 กว่าบาท
ถือคติ ดีกว่าไม่ทา แต่คงต้องหาครีมตัวใหม่มาใช้หลังขวดนี้หมด
เพราะตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าหน้าแห้งอยู่ดี

การอยู่ที่นี่ เปลี่ยนนิสัยการทาครีมของเราไปลย 
จากคนที่ขี้เกียจทาครีม กลายเป็นมีวินัยที่จะทาครีมทุกครั้งหลังอาบน้ำ
กลับไป ผิวสองสีของเรา อาจจะได้รับการเยียวยา ไม่คล้ำเสียอีกต่อไป


อย่างที่สอง คือ เรื่องการกิน
จากคนที่ทำอาหารไม่เป็น ต้องมาใช้ชีวิตอยู่เอง
จะซื้อกินทุกมื้อก้อคงไม่ไหว ต่ำๆ ในมหาลัยก็มื้อละ 4 ปอนด์กว่า
แถมเป็นอาหารฝรั่งที่กินเข้าไปเยอะๆก็เลี่ยน
อาทิเช่น เบคอนชิ้นโต เฟรนฟราย และผักต้ม
แถมที่นี่ เค้าไม่มีซอสแจก เค้าให้เป็นพริกไทย กะแม็กกี้ 
เลยยิ่งเลี่ยน เข้าไปใหญ่ อยากจะพกซอสติดตัวไว้จริงๆ



โดยมาก เราเลยเลือกที่จะทำอาหารกินเองในห้อง
ดีที่ห้องที่เราเลือก มีครัวและห้องน้ำในตัว
แถมยังมีตู้เย็นอีกด้วย ไม่ต้องไปแย่งกับใคร
พวกเราเลยหาเรื่องไป Supermarket หาของไปเติมตู้เย็นได้ทุกวัน
ทั้งของสด และผลไม้ ข้าวของเครื่องใช้
ปลื้มสตอเบอรี่ กับมะเขือเทศเชอรี่มั่ก อร่อยยใช้ได้ 



แต่ด้วยสกิลการทำอาหารที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
เราจึงต้องพึ่งผงสำเร็จรูปทั้งหลาย ทั้งโลโบ ไอเชฟ คนอร์
ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจ ทั้งไข่พะโล ลาบหมู และหมูกระเพรา อร่อยใช้ได้
เราคงไม่ลำบากเรื่องอาหารการกินแล้วแหละ 5555


.
.

เรื่องที่สาม คือเรื่องภาษา
มันก็แน่อยู่แล้ว ก็เรามาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
การสื่อสารจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการถามทาง
ถามมันได้วันเว้นวัน ทุกครั้งที่ไปที่ใหม่ๆ
หรือไม่ก็ต้องมีปันหาอะไร ให้ได้ต้องไปติดต่อ

ตอนเรียนปรับพื้นฐานในห้อง ก้อพอเข้าใจ
คงเพราะเนื้อหาไม่ยาก แค่ทบทวน Java ที่เคยเรียนตอน ป ตรี
แต่ปัญหามันเกิดตอนที่เพื่อนในห้องพูดเนี่ยแหละ
มีกันอยู่แค่ 6 คนในห้อง นานาชาติมากๆ แต่ละคนพูดเร็วและรัว
จับใจความไม่ค่อยจะได้ เลยยังไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่นัก
รวมถึงนักศึกษาที่ทำงานตามร้านมหาลัย ก็ชอบพูดเป็นไฟเหมือนกัน
เวลาเราพูดกับเค้า เราก็ต้องพยายามใส่ accent เช่นกัน
เพราะเค้าก็เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจเราเหมือนกัน
แต่ในเมื่อเรามาที่นี่ เพราะเราอยากพัฒนาภาษา เราก็ต้องพยายามให้มากขึ้น
ใช้ชีวิตให้คุ้ม ที่แม่ส่งให้มาเรียน
ถึงแม้จะคิดถึงแม่ คิดถึงบ้านมากก็ตาม
Keep Fighting✌️


การเดินทางที่แสนยาวนาน


ในที่สุด วันที่ 13 กันยายน ก้อมาถึง
หลังจากที่ดำเนินการเรื่องเรียนต่อมาเนิ่นนานน
และแล้ววันนี้ ก็มาถึง แต่ทำไมรู้สึกว่ายังไม่พร้อม
แบบนี้เค้าเรียกว่า ป๊อด รึป่าว

เครื่องออก 20.35 แม่ให้ออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายโมง
เผื่อเวลาแบบรถชนยังไปทัน
ไปถึงสนามบินประมาณบ่าย 3 คิดว่าเร็วแล้ว
แต่บิ๊กดันไปถึงก่อนเรา ตามมาด้วยปิงกับมี้ และป้าแอ๊ด
สองคนนั้นรับตำแหน่งเพื่อนกิตติมศักดิ์ไป
เพราะได้ร่วมจัดและรื้อค้นกระเป๋าทุกใบของเราใหม่ กลางสนามบิน
วุ่นวายเป็นอันมาก กว่าจะเรียบร้อย เหนื่อยจิงๆ



((รูปในกล้องบิ๊กไม่มีรูปรวมครอบครัวที่มีพ่อเลย เศร้าจัง))

เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มาส่งกันเยอะมาก ดีใจมากจิงๆ
ทั้งครีมมี่ เพื่อน 6/6 เพื่อน ICT พี่ๆน้องๆที่ DST มากันพร้อมหน้า
กำลังใจเต็มเปี่ยม พร้อมออกเดินทางเต็มที่
และแล้วก็ถึงเวลาร่ำลา แต่เรายังมีทศสึไปส่งถึงเกทตามธรรมเนียม


การเดินทางไกลครั้งนี้ ไม่ว้าหว่ เพราะมีมิ้นท์ กับเซโกะไปด้วยกัน
พวกเราเดินทางโดยสายการบิน Etihad
นั่งกัน 3 คนริมหน้าต่าง ตรงกับปีกเครื่องบินพอดี๊พอดี
ผู้โดยสารส่วนมากก็เป็นแขก แต่กลิ่นบนเครื่องก็ไม่ได้แรงสมคำร่ำลือ
แต่แถวที่นั่งอยู่ติดกันไปหน่อย ไม่ค่อยมีพื้นที่วางขา แอบอึดอัดเล็กๆ



ขึ้นเครื่องไปถึงก็หิวมากกกก
เพราะตอนอยู่สนามบินวุ่นวายมาก จนไม่ได้กินอะไร
โชคดีที่เซโกะ ลอคอินเข้าไปสั่ง special meal เอาไว้
ทำให้พวกเราได้อาหารก่อนผู้โดยสารคนอื่นๆ
เราสั่งเป็น seafood อาหารก้อนับว่าพอใช้ได้ จานหลักคล้ายๆจะเป็นปลาผัดขิง



แต่ที่ประทับใจสุดคือ น้ำมะม่วง อร่อยมั่ก ไม่รู้ยี่ห้ออะไร อยากกินอีกจัง
หลังจากกินเสร็จ เราก้อนอนยาว ด้วยความเพลีย
ตื่นมาก็ตอนจะใกล้ถึงจุดหมายแรก สนามบินอาบูดาบี  ณ ประเทศ UAE

ลงจากเครื่องตอนประมาณเที่ยงคืน
มาเจอกับกลุ่มคนมหาศาล พวกเรามาต่อคิวตรวจของอีกครั้ง
ก่อนเข้าไปนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องอีกครั้งตอนตี 2 ครึ่ง
ทุกอย่างเรียบร้อยดี เราเลยเหลือมานั่งรอที่หน้าเกทเป็น ชม.
จะซื้อน้ำ ก้อซื้อไม่ได้ ในตัวมีแต่เงินไทยกับเงินปอนด์ :(
ยังดีที่มีเน็ตให้เล่น เลยมีอะไรทำตอนนั่งรอง่อยๆ




พอใกล้ถึงเวลาเราก็ต่อแถวขึ้นเครื่องไปลอนดอน
คนเต็มเครื่องเหมือนเดิม แต่เครื่องที่สอง เราเดินผ่าน business class 
เห็นที่นั่งแล้วอิจฉามาก อยากยืดขาบ้าง
เราเดินทางจาก อาบูดาบีไปฮีทโทรว ใช้เวลาอีก 7 ชม.
หลังจากเครื่องขึ้นได้ซักพัก เราก็นอนต่อ
นอนมาต่อเนื่อง จนไม่ง่วง ตื่นมาเพิ่งได้ 1 ใน 3 ของระยะทางทั้งหมด



พยายามนอนต่อก้อนอนไม่หลับ เลยถึงเวลาได้ใช้บริการ Entertainment บนเครื่อง
นั่งดู Star Trek2 (อีกครั้ง) ความเศร้าคือ ไม่มีซับไทย แม้แต่ซับ Eng ก้อไม่มี
ขนาดเคยดูมาแล้วรอบนึง ยังจำอะไรไม่ค่อยจะได้ 555
ดูไปเรื่อยๆ พอใกล้จะ climax อาหารมื้อสุดท้ายบนเครื่องก็มาเสิร์ฟ
ได้กินก่อนคนอื่นเหมือนเคย คราวนี้เป็น Omelet รสชาติใช้ได้ แต่แอบเลี่ยนนิสนึง
กินเสร็จ ดูหนังต่อ พอใกล้จบ หนังโดนตัด เพราะว่า..

ในที่สุด .. .
เรากำลังจะถึงลอนดอนแล้วววววว


เวลาประมาณ 7 นาฬิกากว่าๆ ของวันเสาร์ที่ 14 กันยายน
เราสามคนเดินทางได้ลงมาเหยียบประเทศอังกฤษโดยสวัสดิภาพ
กับข้าวของแสนพะรุงพะรังของพวกเราทั้งสามคน
พอเดินออกจากเกทได้ซักพัก ก็มาเจอกับแถว ตม ยาวเหยียด
ต่อไปต่อมา พอใกล้ๆ ถึงเพิ่งรู้ว่า แถวนักเรียนที่มาครั้งแรกอยู่อีกแถว
แล้วต้องกรอกเอกสาร และเตรียมเอกสารไปแสดงด้วย
สภาพพวกเราจึงเป็นอย่างรูปข้างล่างนี้


การผ่าน ตม. ก็ไม่ยากอย่างที่แอบกลัว
ตม. ถามคำถามแค่สองสามคำถาม เกี่ยวกับคอร์สที่จะเรียน
แล้วก้อปล่อยเราผ่านข้ามประเทศ :)
และแล้วเราก้อมาถึงอังกฤษโดยสมบูรณ์


เวลาตอนนั้นคงประมาณ 8โมงกว่าๆ
แต่ปัญหาคือ เราจองรถโค้ชไป Norwich ไว้ตอน 12.50
ออกไปนอกสนามบินก้าวแรก หนาวมากกก พูดแล้วควันออกปาก
คิดไปคิดมา ต้องรออีกน๊านนานน ลองไปขอเลื่อนรอบรถดูดีกว่า
และแล้วเค้าก็ยอมให้พวกเราเลื่อนรอบได้ เป็นรอบ 10.30
โดนค่าเปลี่ยนรถไป 5 ปอนด์ แต่ก็ยอม ดีกว่านั่งแกร่วอีกหลาย ชม.



ระหว่างที่รอรถ ก็ผลัดกันไปล้างหน้า แปรงฟัน
และนั่งรถเข็นกินขนมปังทูน่า ที่ได้มาจากเครื่องบิน อยู่หน้าห้องน้ำนั่นแหละ
จนถึงเวลาขึ้นรถ พวกเรานั่งยาวสุดสาย
เส้นทางสองข้างทาง ก็แทบจะไม่เจอเมืองเลย
มีแต่ที่โล่ง เหมือนจะเป็นไร่ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวไป ตลอดทาง


หลับๆตื่นๆ เพราะไม่มีอะไรจะทำ
จนกระทั่งถึง เมืองแคมบริจน์ ที่พวกเราดูจะได้เข้าเมือง
เจอผู้คนที่ข้างทางบ้าง ตึกรามบ้านช่องดูสวยแปลกตา
ผ่าน University of Cambridge คนที่เดินอยู่แถวนั้นล้วนหน้าตาดูมีความรู้
เหมือนเป็นอีกโลกที่ต่างกับบ้านเมืองของเราโดยสิ้นเชิง
ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด



เรานั่งรถต่อมาอีกไม่นาน ก็มาถึงเมือง Norwich
และ ในที่สุด หลังจากการนั่งรถอย่างยาวนานนน ถึง 6 ชม.
เพราะรถดีเลย์ไป ชม. นึง เราก็เริ่มเห็นป้ายชี้ทางไป UEA จุดหมายของพวกเรา
เย้ เยยยย มหาลัยของเรา ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
นั่งเครื่อง นั่งรถจนก้นแฉะ กับการเดินทางที่ยาวนานเป็นวัน
พอมาถึง พวกเราก็ลากกระเป๋า คนละ 3 ใบหนักๆ ลงมาจากรถ
แล้วก็ลงมายืนงง ไม่รู้ว่าต้องไปต่อทางไหน
เท่าที่รู้คือ เราต้องหา Security Lodge เพื่อไปรับกุญแจห้อง
เพราะเราไปถึงวันเสาร์ ไม่มี Accommodation Staff มาคอยดูแล เราจึงต้องดูแลตัวเอง
ลงรถมา ไม่เจอผู้คน เหมือนมหาลัยร้าง เราจึงพุ่งตรงไปหาแผนที่

แต่ก็มีผู้ชายคนนึง ที่นั่งรถมาด้วยกัน ถามพวกเราว่า เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกรึป่าว
เค้าก็ช่วยนำทางเราไปที่  Security Lodge ซึ่งต้องเดินขึ้นเนินไปไกลมากกก
เค้าเดินนำเราไปลิ่วๆ ทั้งๆที่เค้ามีกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบ
ณ จุดนั้น อยากเป็นผู้ชายมาก พูดเลย
พอมาถึง Security Lodge เค้าก็แนะนำตัวว่า ชื่อวิน มาจากเวียดนาม
พร้อมทั้งบอกข่าวร้ายว่า หอของพวกเรา อยู่เลยจุดที่เราลงรถมา
ซึ่งหมายความว่า เราต้องลากกระเป๋าลงเนินกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง
โอว มาย ก้อดดดดด  น่าจะเล่นกล้ามก่อนมา
ถ้าจะต้องแบกลากของทั้งหมด 50กว่าโล เดินไปขึ้นลงเนินไปๆมาๆขนาดนี้



เดินงงๆ หาหออีกซักพัก แถมในใบห้องพักไม่บอกอีกว่าห้องอยู่ชั้นไหน
ก้อต้องเดินงงๆ หาห้องต่ออีก ชีวิตคือการค้นหาจริงๆ
ในที่สุดก็หาห้องเจอ ห้องหมายเลข 72 ชั้น 3 ตึก Constable Terrace
สิ้นสุดการเดินทางซักที ในที่สุดเราก็ถึงที่พักซักที
พร้อมกับความหิวระดับ max
ณ จุดนี้ ไม่ต้องการอาหารระดับภัตราคาร
มาม่าต้มยำ คือที่สุด ฟินสุดละจุดนี้
นั่งกินกันบนพื้น เพราะไม่มีโต๊ะ ใช้ชีวิตกันแบบผู้ดีอังกฤษสุดๆ


แถมมีอีกข่าวร้าย คือ ชุดเครื่องนอนที่พวกเราสั่งไปไม่มาส่งที่ห้อง
ออกไปคนคุมหอ ก้อไม่เจอซักคน แถมที่ร้านปิดวันเสาร์อาทิตย์
ฮีตเตอร์ ก็เครื่องเล็กมาก มีลมร้อนออกมาแค่เหนือเครื่องประมาณ 5 ซม
ไม่ได้ช่วยอะไรเล๊ยยยยย
คืนนี้ เราเลยต้องนอนทนหนาวกัน ห่มผ้าเช็ดตัว
ตื่นมาหลายรอบ มาใส่เสื้อเพิ่ม เพราะทนหนาวไม่ไหว
จนสุดท้าย ไปๆมาๆ ใส่ไป 4 ชั้น
และก็ถึงเวลาพักผ่อนซักที หลังจากการเดินทางที่แสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย
เราก็ได้มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ . .. University of East Anglia (UEA)
และอีก 1 ปี ต่อจากนี้ ที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
หนึ่งปี แห่งการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลง ตื่นเต้นกับมันจริงๆ

: )


Last night in BKK


รู้สึกใจหายยังไงบอกไม่ถูก
พรุ่งนี้ เรากำลังจะเดินทางออกนอก Comfort zone อีกครั้ง
แถมครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
หลังจาก เตรียมตัวมานานนับปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
วันที่เรา ก ลั ว .. .

ถึงแม้ว่า ทุกคนบอกว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
เพราะเรามีเพื่อนไปด้วย  แต่เราก้อยังกลัวอยู่ดี 
คนที่อยู่กับครอบครัวมาทั้งชีวิต ไม่เคยห่างกันเกิน7 วัน
มีพ่อแม่คอยบ่นตลอด แต่ก็ดูแลเราเหมือนเด็กตั้งแต่เล็กจนโต
กับข้าวไม่ต้องทำกินเอง เหนื่อยก็มีคนปลอบใจ 
มีบ้าน ให้กลับมาทิ้งตัวลงนอนตอนหมดพลัง
แต่ 1 ปีต่อจากนี้ เราจะต้องดูแลตัวเอง และก็ต้องดูแลมิ้นด้วย
หวังว่า เราจะทำได้ ถึงไม่ดีเท่าแม่ แต่ก็หวังว่าเราจะผ่านไปได้

.
.

Today *

วันนี้ ทำตัวเป็นลูกที่ดี โดยการขับรถรับส่งแม่ไปสอนที่สตรีวิทย์
ระหว่างรอแม่สอน ก็แวะไปหามี้ (แม่ปิง)
มี้น่ารักมากๆ ซื้อผงปรุงรสมาให้
สอนเราทำไข่ตุ๋นจากไมโครเวฟ แถมให้สูตรอาหารเรามาด้วย
ซึ้งใจมากกกๆจริงๆ ไม่รู้จะพูดขอบคุณยังไง <3

หลังจากนั้นมีนัดกะหวานที่เดอะมอลล์
เป็นนัดสุดท้ายแล้วก่อนบิน ดีใจที่ได้เจอกัน
ไปส่งแม่ไม่ทัน แม่เลยมานั่งกินด้วย บิ๊กตามมาอีก 1
กินซิสเลอร์กันแบบอิ่มแปร้ 
ตอนนี้พูดได้เลย ว่าได้กินตุนทุกอย่างมาครบแล้ว ไม่อยากกินอะไรอีกแล้ว
พร้อมจะกินอาหารสำเร็จรูปไปทั้งปี :(




วันนี้เหนื่อยมาก แต่มีความสุข :)
พรุ่งนี้แล้วสินะ ..


We're 231.



231 คือสายรหัส เมื่อเราเรียนอยู่ที่ MUICT
เริ่มต้นสายรหัสที่พี่มีน ที่ไม่ได้เจอกันนานมากก
เราเป็น 231 รุ่นถัดมา ตามมาด้วย น้องแคท น้องพลอย น้องยุ้ย น้องอัน
แต่น้องอัน และน้องผู้ชายรุ่นถัดมาที่ยังไม่เคยเจอ ได้ซิ่วออกไปแล้ว
สรุปตอนนี้ ก้อเหมือนจะเหลือกันอยู่แค่ 4 คน 555



เมื่อน้องๆ รู้ข่าวที่เราจะไปเรียนต่อ
น้องแคท โทรมานัด ชวนไปกินข้าว พร้อมทั้งนัดน้องๆให้
ดีใจที่น้องๆยังให้ความสำคัญกับเรา
พวกเรานัดกินมื้อเที่ยงกันที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า
คิดอยู่นานสองนานว่าจะกินอะไรดี สุดท้ายลงเอยที่ชาบูชิ

ข้อดีของสายรหัสเรา นอกจากจะเหนียวแน่นแล้ว
ยังพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ไม่เคอะเขิน ถึงแม้ว่าจะเจอกันปีละครั้งก้อตาม
น้องแคท น้องพลอยเป็นคนพูดเก่ง
ส่วนน้องยุ้ยถึงจะพูดน้อย (กินเยอะ แต่ผอม) แต่ก้อมีประเด็นมาเล่าให้ฟังเสมอๆ

มื้อนี้ เราเลยขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงน้องๆ
น้องแคทน่ารัก ซื้อหนังสือท่องเที่ยวยุโรปมาให้
พร้อมทั้งบอกว่า หนูรู้ว่าพี่ไม่ได้ไปเรียนอย่างเดียว
ต่อมาน้องพลอย เลี้ยง Ice Monster 
แต่ด้วยความอิ่มของพวกเรา จึงสั่งแค่ถ้วยเดียว
เป็นน้ำแข็งใสร่วมสาบาน


หลังจากใช้เวลาด้วยกันครึ่งวัน
ไปเดินดูนิทรรศการสัตว์ในห้างมากันด้วย
ทำให้เราว่า พวกเราก้อเป็นผู้หญิงใจบุญเหมือนกันนะเนี่ย
เย็นค่ำก็ได้เวลาแยกย้าย
แล้วเจอกันใหม่ปีหน้านะจ๊ะน้องๆ

ทำบุญ ไหว้พระ ปล่อยเต่า ปล่อยปลา


นุ่นเคยชวนไปปล่อยปลากัน
ใช้คำว่าเคย เพราะเกิดขึ้นในอดีตที่นานมาแล้ว

เลื่อนไปเลื่อนมา จน ศ หน้าจะบินแล้ว
คงเลื่อนไปอีกไม่ได้แล้ว นัดทำบุญนี่เป็นอะไรที่ยากเย็น
ส้งฆทานซื้อไว้ 3 ชาติเศษ ไม่ได้เอามาถวายซักที
ทีนัดกินล่ะ ไม่เค๊ยไม่เคยจะถูกเลื่อน 555


ตะลอนทำบุญคราวนี้ กนกเป็นสุภาพบุรุษใจดี ขับรถให้
ตั้งแต่ สาย 3 > วัดท่าไม้ (สาย5) > วัดไร่ขิง (สาย7) > พุทธมณฑล (สาย4)
เรียกว่าเป็น ทัวร์ถนนพุทธมณฑล ก้อว่าได้

เริ่มต้นที่วัดท่าไม้ วัดที่มีโฆษณาไปทั่วทุกที่
จนนุ่นคิดว่าอยู่แถวบ้าน เลยดำริอยากไป แต่มาชอคเมื่อรู้ความจริงวันนี้ ว่ามันอยู่ห่างบ้านหลายสิบโล
พวกเราถวายสังฆทาน และตระเวนไหว้ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกศาลา
ขอให้การเดินทาง และการศึกษาราบรื่น

จากนั้น เพราะว่าเราอยากปล่อยปลาและเต่า
พวกเราจึงต้องหาที่ขายปลา ขายเต่า
มีแต่คนบอกให้ไปซื้อที่วัดไร่ขิง พวกเราจึงดิ่งไปที่นั่น
ได้เต่ามา 3 ตัว กับปลาไหลอีก 9 ตัว
ระหว่างเดินทาง นุ่นกลัวเต่าไม่มีอากาศหายใจ เลยเจาะรูที่ถุงให้
แต่หลังจากนั้น เต่าตัวนึง มันขยับตัวตลอดเวลา เหมือนจะหาทางออกจากถุง
ไอ้เราก็กังวล ว่ามันจะตาย
แต่สุดท้ายมันก็รอดปลอดภัยมาถึงพุทธมณฑล

หลังจากปล่อยปลา ปล่อยเต่าเสร็จแล้ว
บิ๊กก็เอาอาหารปลา (แบบเป็นสีๆที่เค้าห้าม) มาเทลงบ่อ 
ล่อให้ปลาตัวเท่าควาย ล้านแปดตัวมาแย่งรุมกินอาหาร
หลังจากนั้น เหตุคาดฝันก็เกิดขึ้น หลังจากที่เราถ่ายภาพด้านล่างนี้
.. .  


สังเกตน้ำด้านซ้ายมือ ที่กำลังสาดกระเซ็นขึ้นมา
จากพลังการต่อสู้แย่งชิงอาหารของปลา
หลังจากรุปนี้ถ่ายเสร็จไม่กี่วินาที
ข้าก้อได้รับน้ำมนต์จากบ่อปลาไปเต็มๆ เปียกตั้งแต่หัวจรดเช้า 
รับโชคปิดท้ายทริปทำบุญเล็กๆ ของพวกเรา
นุ่นบอกว่า ปลามันรู้ว่าปีหน้าเราจะไม่ได้เล่นสงกรานต์ เลยจัดให้ก่อน
เริดปะล่ะ??!???

:)


Khao Sok trip DAY2 :: เที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน


27-29 . 07 . 2013
Khao Sok trip w/ ICT friends
The last trip w/ uni friends before leaving to UK



เรื่องราวเดินทางมาถึงวันที่ 2 ของการท่องเที่ยวของพวกเรา
แผนการวันนี้ของพวกเราคือ
เก็บข้าวของ โลกมือลา ภูผาและลำธารรีสอร์ท
เที่ยวสันเขื่อนเชี่ยวหลาน
แล้วไปลงเรือ เพื่อไปยัง แพ 500 ไร่

.
.


เนื่องจากการดูรีวิวมาอย่างโชกโชน
เราจึงพลาดการชมหมอกตอนเช้าไม่ได้เป็นอันขาด
เราและยุ้ย ตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้า
จำไม่ได้ว่ากี่โมง แต่ที่รู้ๆ คือพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดี
เดินขึ้นไปจุดที่คนอื่นถ่ายรูปตอนรีวิว
ที่มีป้าย รีสอร์ทในฝัน แต่มันก็ยักไม่เห็นเหมือนในรีวิว
ภาพที่เห็นคือ หมอกหนา ที่สามารถบังภูเขาข้างหลังไปทั้งลูก
แต่ถึงจะไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้ แต่มันก็ยังสวยอยู่ดี




พอช่วงสายๆ หมอกที่เต็มฟ้าด้านหลัง
จะกลายเป็น สายหมอก ที่ค่อยๆลอยผ่านภูเข้าไปเรื่อยๆ เอื่อยๆ
จะดีมาก ถ้ามีเวลานอนมองดูวิวนี้
อยากอยู่ต่ออีกซักวัน ใช้ชีวิตให้ชิวกว่านี้
คงจะซึมซับพลังกลับไปได้มากโข

.
.

เก็บของเสร็จ เราก้อขึ้นรถตู้ไปสันเขื่อนต่อ
คนขับดุมาก พูดเลย ให้เวลาพวกเราที่สันเขื่อนแค่ 10 นาที
แถมบอกพวกเราด้วยเสียงดุอีกต่างหาก
แต่มีหรือที่พวกเราให้สามารถใช้เวลาถ่ายรูป ณ จุดๆนึง
ได้ภายในเวลา 10 นาที ..
คำตอบคือไม่มีทาง พวกเราเลทอย่างแน่นอน
แต่มันก็ทำให้พวกเราต้องรีบดู รีบถ่ายแบบรวดเร็ว
แต่พวกเราก้อยังไม่วายได้รูปรวมมาอยู่ดี



.
.

หลังจากวิ่งขึ้นรถตู้ เพราะเลยเวลามาพอสมควร
ก็ถึงเวลาที่รอคอย ที่เราจะไปเที่ยว เขื่อนเชี่ยวหลาน
หรือที่พูดกันว่า มันคือ กุ้ยหลินเมืองไทย

เรามารอที่ท่าเรืออยู่ซักพัก
เจอผู้คนมากมาย ตอนแรกนึกว่าไปที่เดียวกันหมด
ยังแอบคิดว่า คนเยอะขนาดนี้เลยเหรอ
แต่จริงๆแล้ว มีคนร่วมเดินทางลงเรือลำเดียวกับพวกเราแค่ 2 กลุ่ม
กลุ่มนึง เป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก และอาม่า
ดูเป็นครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น
เราเลยชอบแอบมองพวกเค้าอยู่บ่อยๆ
ส่วนอีกกรุ๊ป เป็นครอบครัวคนไทย-จีน มีลูกเล็กๆ 2 คน
เจ้าเด็กอ้วน 2 คนนั้น โวยวายเป็นภาษาไทย สลับจีนตลอดเวลา
แถมตอนหลัง ได้มาอยู่ห้องข้างๆกันอีก
เลยได้ฟังเสียงเอะอะโวยวายเป็นระยะๆ
จนตอนหลังเริ่มเอ็นดู 555





นั่งเรือกันอย่างยาวนาน ประมาณเกือบ ชม ได้
บรรยากาศระหว่างทาง เป็นภูเขาหินปูนเรียงรายกัน
สาเหตของคำว่า กุ้ยหลินเมืองไทย
บรรยากาศรอบๆ มันชิวจริงๆ
ถึงแม้ว่า น้ำจะสาดกระเซ็นมาโดนหน้า โดนตัวอย่างต่อเนื่อง

ก่อนเรือจะเล่นไปยังที่พัก
ไกด์ได้พามาชม เขาสามเกลอ ที่เป็นจุดท่องเที่ยวของที่นี่
เป็นภูเขาฟิน 3 ลูก เล็กๆ เรียงรายอยู่กลางเขื่อน


.
.

ไกด์ให้เราได้แวะถ่ายรูปกันแปร๊บนึง
แล้วก้อเดินทางต่อไปยังที่พักคืนที่ 2 ของพวกเรา
. .. แพ 500 ไร่ .. .

เราเลือกพักที่นี่ เพราะมีห้องน้ำส่วนตัว และห้องติดแอร์
ถึงแม้ว่า ราคาจะแพงกว่าที่พักอื่นๆในเขื่อนแบบหูฉี่
แต่ก้อยอม เพราะมันอาจจะเป็นแค่ครั้งเดียวในชีวิต
ขอให้ชีวิตแบบมีแฮปปี้ๆ ละกัน


อาหารมื้อแรก หลังจากมาถึงที่พัก
เป็นอาหารไทยแบบบุฟเฟ่ต์
ตักกันแบบเต็มที่ อร่อยทุกอย่างเลย บางอย่างเป็นอาหารใต้
ได้กินที่นี่เป็นครั้งแรก จำชื่อไม่ได้แต่ประทับใจ

กินเสร็จก็เข้าที่พัก มี issue นิดหน่อย
สืบเนื่องจากประตูบ้านหลังนึงของพวกเราแตกไป 1 บานเมื่อคืน
แต่สุดท้ายก็เคลียร์กันไปได้ด้วยดี

บ้านพัก มี 2 แบบ แบบติดแอร์ กับไม่ติดแอร์
แต่ละหลังมี 2 ชั้น พักได้ 4 คน
แต่ชั้นข้างบน จะเป็นเหมือนห้องใต้หลังคา ลูกเมียน้อยนิสนึง
เรากับยุ้ยนอนตรงนั้น แต่ชอบนะ แปลกดี 555
หลังจากเก็บของเสร็จ จริงๆเรียกว่ากองเสร็จดีกว่า
พวกเราก็ออกไปน้ำตกกัน ได้แถมมาตอนซื้อทัวร์
ตอนแรก อยากไปถ้ำปะก่ารัง กับแพ 500 ไร่เก่า
แต่เค้าบอกว่าฝนตกติดกันมาหลายวัน
เลยไม่แนะนำให้ไป เลยอดไป ผิดจากที่ตั้งใจไว้เลย

.
.

พวกเราแล่นเรือออกไปยังน้ำตก
โชคดีมาก ที่ไม่มีใครพกมือถือ หรือกล้องมา
เพราะน้ำตกนี้ ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์การเที่ยวน้ำตก
ที่ท้าทายที่สุดในชีวิตอีกครั้ง
หลังจากที่พวกเราร่วมเผชิญกันมาจากทริปเชียงรายมาแล้วครั้งหนึ่ง
ต่อไปนี้ ถ้าจะไปน้ำตกอีก คงต้องดูรีวิวดีๆ
เพราะถ้าจะต้องไฟท์ขนาดนี้ ก็ไม่ไหวนะ

ยุ้ยพูดว่า ถึงว่า ทำไมไม่มีคนรีวิวน้ำตกนี้
คงเพราะ ไม่มีใครเอากล้องไปถ่ายรูปได้อย่างสบายใจนี่เอง
น้ำตกที่พวกเราไป กว่าจะขึ้นไปจุดที่เล่นน้ำได้นั้น
ตั้งเดิน ปีนป่ายหินสวนทางน้ำขึ้นไป
บ้างก้อชัน บ้างก้อลื่น บ้างก้อแหลมบาดเท้า
ได้ออกกำลังแขนขาอย่างเต็มที่
กว่าจะไปถึงจุดเล่นน้ำ ใช้เวลาเป็นสิบนาที
พอไปถึง ถึงกับชอค น้ำในแอ่งตื้นมาก จุดลึกสุดไม่รู้เลยเอวรึป่าว
ไหนที่เค้าบอกว่า ฝนตกหลายวัน น้ำเยอะ น่าไป
นี่โดนหลอกรึป่าว ยังสงสัยอยู่
ก้อนั่งแช่น้ำเย็นๆกันอยู่ซักพัก ให้พอคุ้มกับที่ปีนขึ้นมา
เปิดวงเล็บว่า ว่ายไม่ได้ ลึกไม่พอ
พอมีกรุ๊ปอื่นมา พวกเราก็ขอบายดีกว่า แค่นี้ก้อไม่มีที่จะยืนแล้ว
ขาลง ดูจะทุลักทุเลกว่าขาขึ้น เพราะน้ำก้อพัดแรงในบางจุด
ต้องก้าวอย่างมีสติ แต่สุดท้ายเราก้อพลาด
ลื่นล้มจนได้ ตอนใกล้จะถึงเรือแล้วด้วย เจ็บตรงนี้

.
.

กลับมาถึงที่พัก พวกเราก้อมาพายเรือคายัคเล่นกันหน้าบ้าน
เรือมี 4 ลำ แต่ที่สมประกอบจริงๆมีแค่ 2 ลำ
อีก 2 ลำ มีรูรั่ว น้ำเข้าใต้ท้องเรือ

ทำให้ยุ้ยริดที่พยายามจะขึ้นเรือเท่าไหร่
ก็ขึ้นไม่ได้ซักที ขึ้นปั๊บคว่ำ ขึ้นปั๊บคว่ำ
ทั้งปีน ทั้งดันเรือกันจนเหนื่อย กว่าบิ๊กจะค้นพบว่าเรือมันรั่ว
ส่วนกานต้น ก้อคว่ำเหมือนกัน
แต่ไม่ใช้เพราะเรือรั่ว แต่เป็นเพราะน้ำหนักของต้นต่างหาก
สังเกตได้จากรูปด้านล่าง ท้ายเรือจมอย่างเห็นได้ชัด !!




.
.

เนื่องจากมีเรือใช้ได้แค่ 3 ลำ
เรา บิ๊ก ติรกร จึงนั่งมองเพื่อนๆที่เหลือ พายเรือกันอย่างสนุกสนาน
และแล้ว ก้อเกิดภาพไม่คาดฝันขึ้น
เมื่อเรือของกาน และต้น ได้คว่ำอยู่กลางเขื่อน
((บุรินมาสารภาพภายหลังว่า มันขับเรือไปชนเรือของต้น
น้ำเลยเข้าเรือ และล่มในเวลาต่อมาอีกไม่นาน))

พายคายัคมาก็หลายต่อหลายครั้ง
ไปพายกลางทะเลก็เคย ไม่เคยเห็นเรือคว่ำซักครั้ง
มีทริปนี้เนี่ยแหละ ที่คว่ำเอาๆ เปิดประสบการณ์ใหม่ให้ชีวิตมากๆ

พวกมันพยายามจะผลักเรือ กันอย่างทุลักทุเล แต่ก้อไม่สำเร็จซักที
พวกเราอยากจะช่วยก็ไม่รู้จะไปช่วยยังไง
สุดท้าย พวกมันคงหมดความพยายามในการกลับขึ้นเรืออีกครั้ง
จึงเกิดเป็นภาพนี้ขึ้นมา


กานกับต้น เกาะเรือยุ้ยริดกลับเข้าฝั่ง
ส่วนบุริน พายเรือลากเรือของสองคนนั้นกลับมา

แต่ใครจะไปรู้ว่า .. .
เมื่อมีคนอีก 2 คน มาเกาะเรือคายัคแล้วนั้น
ยุ้ย กับริดจะพายเรือแล้ว เรือเคลื่อนที่ได้เสมือนหยุดนิ่ง
ตอนแรกคิดว่า น้ำจะช่วยพยุงน้ำหนักซะอีก
ทฤษฎีนี้คงไม่ถูกเสมอไป โง่ฟิสิกส์ซะด้วยเลยไม่รู้ว่าทำไมถึงพายไม่ไป
กลายเป็น เพื่อนผู้โชคร้าย 2 คน ต้องพยายามว่ายน้ำเข้าฝั่งเอง
ซึ่ง ฝั่งที่ว่านั้น อยู่อีกไกลลิบลับมาก มองเห็นกานต้น ตัวยังไม่เท่าหัวแม่มือ
สุดท้าย ก้อว่ายน้ำกันไม่ไหว ต้องเรียกยุ้ยริดกับไปรับ
ทุลักทุเลกันมากกว่าจะกลับมาถึงฝั่ง

หลังจากที่เพื่อนกลับเข้ามาแล้ว
ก็ถึงเวลาพายของเราบ้าง
เรากับบิ๊กพายออกไปไกลว่าที่คนอื่นพายกัน
ถึงตอนแรก บิ๊กจะกลัวเรือล่ม แต่เราคิดว่ามันไม่น่าจะล่มได้
พายกลางทะเลเจ็ดแปดกิโลยังพายมาแล้ว
เอาอะไรกับแค่นี้
หลังจากเกลี้ยกล่อมมันไปซักพัก
สุดท้ายมันก็ยอมพายออกจากฝั่งไปไกลๆ ตามคำขอ
แค่พอกลับมา แต่จะเอาไม้พายตีหัวเราก้อเท่านั้นเอง -*-


.
.

หลังจาก activities ที่แสนหนักหน่วง
มาเจออาหารบุฟเฟ่ต์ตอนเย็น เลยกินแบบไม่คิดชีวิต
ปิดท้ายด้วยของหวาน กล้วย 500 ไร่
เป็นเหมือนกล้วยบวชชีที่ใส่นม อร่อยสุดดด
คืนนี้ ไม่ค่อยได้มีกิจกรรมตอนกลางคืนซักเท่าไหร่
เนื่องจากความอ่อนล้า
พวกเราจึงแยกย้ายกันไปนอนเอาแรงก่อนเวลาอันควร
หมดไปอีก 1 วัน พรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว
ใกล้จะหมดเวลาสนุกแล้วซิ  

.
.

วันที่ 3 *



พวกเราตื่นมาส่องสัตว์กันแต่เช้า
มีกาน ต้นที่ตื่นไม่ไหว ขอนอนต่อดีกว่า
เรือไปจอดอยู่จุดหนึ่งกลางเขื่อน ไกด์ให้พวกเราสังเกต
ชะนี และนก ที่อยู่บนยอดต้นไม้ สูงลิ่ว
ต้องใช้ทักษะการสังเกตระดับสูงถึงจะมองเห็น
ต่อด้วยดูภาพผู้หญิง 3 คนบนภูเขา ในรูปด้านล่างนี้
บอกเลยว่าต้องใช้สกิลการสังเกตขั้นเทพเช่นเดียวกัน
อยากจะรู้ว่าคนค้นพบเค้าเจอได้ยังไง



เวลาแห่งความสุขมักผ่อนไปอย่างรวดเร็ว
พวกเราเดินทางมาถึงเที่ยงวันที่ 3
ที่ต้องรีบไปขึ้นเครื่องบินกลับ กทม.
เนื่องจากทริปเชียงราย ที่พวกเราต้องวิ่งขึ้นเครื่องกันอย่างหัวซุกหัวซุน
พวกเราเลือกที่จะรีบไปสนามบินกันดีกว่าในครั้งนี้
เราเลยได้ไปนั่งกินข้าวเที่ยงสบายใจรอเวลาที่สนามบิน
และกลับถึง กทม โดยสวัสดิภาพ


No more tear



วันนี้ ที่มีน้ำตา . ..
จงจดจำไว้ อย่าร้องไห้ให้ใครมากกว่า 1 ครั้ง

วันนี้ เราร้องไห้ ให้กับความอ่อนแอของตัวเอง
ขอให้น้ำตา ทำให้เราท่องไว้เสมอว่า
อย่าให้ใคร หรืออะไรมาทำร้ายเราซ้ำๆได้อีก
จบมันลงด้วยตัวเองที่ตรงนี้


เพราะถ้าเรายังปล่อยให้เรื่องเดิมๆ 
มาทำร้ายจิตใจเราอยู่เรื่อยๆ
เท่ากับไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวเราเองต่างหาก
ที่กำลังทำร้ายเราอยู่

น้ำตาครั้งนี้ ถือว่า เราได้ปลดปล่อยความทุกข์
ที่เคยรบกวนจิตใจของเรา
ขออย่าให้มีครั้งต่อไป
เพราะนั่นจะหมายถึง เรารักตัวเองไม่มากพอ

"เจ็บแล้วจำคือคน
เจ็บแล้วทนคือควาย"

ให้สุภาษิตนี้ มันคอยย้ำเตือนใจเราไว้
ในวันที่เราอ่อนแอ

: )