This's Nokiza's journey.
I am a programmer but I do love travelling and enjoy eating. : )
ระยะปรับตัว
ไฮ ไดอารี่
ช่วงนี้เค้าเหนื่อยจัง
หลายเดือนที่ผ่านมานี้ มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิต
หน้าที่การงานที่มากขึ้น
ความรักที่ดูเหมือนจะลดลงทุกวันๆ
เวลาในชีวิตเลยอยู่กับความเหนื่อยกาย เหนื่อยใจมากขึ้นๆ
แต่มีเวลาสำหรับความสุขน้อยลงๆ
กับหน้าที่การงานใหม่ ตอนนี้ได้ทำงานเป็น lead ครั้งแรก
กับตำแหน่ง Analytics Team Leader
ตั้งแต่คีธและแอนสันออกไป อะไรต่อมิอะไรก็ถาโถมเข้ามามากมายในชีวิต
ทั้งเรื่องดูแลคนในทีม เรื่องเรียนรู้งานของตัวเอง
มีคนติดต่อเข้ามาคุยเยอะขึ้น ทำให้เวลาวันๆนึงหมดไปอย่างรวดเร็ว
พลังงานในชีวิต หามาเท่าไหร่ แปบเดียว hp sp ลดฮวบๆ
อยากหนีไปพักคนเดียวไกลๆหลายครั้งละ
แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปซะที
ณ ตอนนี้ ก็คาดหวัง ว่ามันคงจะเป็นระยะปรับตัว
เราคงจะไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ตลอดไป
ขอให้ทุกอย่างมันเข้าที่ได้ในเร็ววันด้วยเถิดดด
บอกตรงๆว่าทุกวันนี้มันแทบจะไม่ไหวแล้วจริงๆ
ฮึบๆ นกกิ
RIVA floating cafe' :: Good memories have to be captured
03.10.15
ตลาดน้ำวัดดอนหวาย &
RIVA Floating Cafe'
กลับมาเขียนไดอารี่อีกครั้ง
เพราะตอนนี้มีโปรเจคในหัวที่อยากทำเกี่ยวกับการท่องเที่ยว
และอยากจะโชว์ผลงานการถ่ายรูป
จากกล้องที่ยึดเค้ามา และเลนส์ 23 ที่เพิ่งซื้อแบบงงๆ
เนื่องจากเสียเงินไปแล้ว .. .
เราจึงขอเริ่มพยายามเรียนรู้เรื่องการถ่ายภาพกะเค้าบ้างละกัน
ตอนนี้เริ่มรู้สึกดีเวลามีคนชอบรูปที่เราถ่าย
แต่ยังไม่มีปัญญาซื้อกล้อง ทำไงดี!!
55555
.
.
.
ทริปนี้เกิดขึ้นได้ เพราะ Social network
มีคนแชร์เรื่องคาเฟ่ริมน้ำเยอะแยะมากมาย
เลยมีการคุยกันในกลุ่ม Constable girls ว่า อยากไปกันบ้าง
ตามเทรน Slow life ของยุคนี้ พศ นี้
และชีวิตพวกเราก็ Slow จริงๆ
นัดกันสิบโมง กว่าจะเจอกันครบปาเข้าไปเที่ยง
แถมเจอรถติดบรรลัย กว่าจะไปถึงดอนหวายก็บ่ายแล้ว
ไปถึง เราเลยเดินจ้ำอ้าวมุ่งหน้าไปยัง แพนายหนับ
เป็ดพะโล้ชื่อดัง ที่ไม่ได้กินมานานนม
ตามคอนเซปกลุ่มนี้ *
อาหารถูกสั่งมาได้อย่างไม่ลืมหูลืมตา
ทั้งๆที่จริงเมื่อวาน เพิ่งไปกินเกี๊ยวจีนกันมาแบบกระเพาะคราก
แชมป์ที่ไม่สบายอยู่ ก็โดนลากไปทรมานด้วย โซซอรี่จิงๆนะ :)
เป็ดพะโล้เจ้านี้ ก้ออร่อยตามท้องเรื่องอยู่แล้ว
แต่จานที่ประทับใจคือ ต้มฟักมะนาวดอง..
มันเปรี้ยวและหอมมะนาวดอง แบบไม่มีรสขมเลย
อยากทำให้ได้แบบนี้บ้างจัง
.
.
.
ร้านใหญ่เกือบทุกร้านในตลาดนี้
จะต้องมีป้ายรายการ ป้ายเปิบพิสดารติดแทบทั้งนั้น
และอีป้ายที่ว่านี่ มันก็ดึงดูดความสนใจคนได้มากจิงๆ
ทั้งๆที่สินค้าจริงๆ ก็ไม่ได้อร่อยอะไรขนาดนั้น
แต่ข้อดีของการเดินตลาดดอนหวายตอนท้องอิ่มก็คือ
ช่วยให้เราไม่อ้วนและประหยัด
เพราะไม่มีความรู้สึกอยากกินอาหารใดใดที่เดินผ่านเลย
แต่ตอนนี้แอบเสียดาย คิดถึงบัวลอยเผือก และกั้งดองที่ไม่ได้ซื้อมา
หลังจากที่ไม่ได้มาที่นี่มานานมากก
ก็ค้นพบว่า ราคาสินค้าในตลาด นี่มันแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อย่างสายไหมข้างล่างนี้ แก้วละ 35 บาท OMG
สมัยเด็กๆ ซื้อตามงานวัด ถุงใหญ่มากแค่ 10 บาท
นี่ใช่มั้ย ที่เรียกว่า ภาวะเงินเฟ้อติดลบ
.
.
.
เริ่มจะเย็นแล้ว
เราไปต่อกับที่ RIVA Cafe' สาย 7
เคยเห็นภาพมาแล้ว ทั้งรีวิว ทั้งเพื่อนอัพ
ก็ไม่คิดว่าร้านจะใหญ่ แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่คิดว่ามันจะเล็กขนาดนี้
ถ้าใครจะไป ก็ขอแนะนำเลยว่า
อย่าจับกลุ่มรวมตัวไปกันเกิน 4 คน ถ้าอยากนั่งชิวๆ ริมน้ำ
เพราะ มันมีแค่ 2 โต๊ะที่นั่งได้ 4 คน นอกนั้นเป็นโต๊ะ 2 คนทั้งสิ้น
แถมการคาดหวังว่าจะได้นั่งโต๊ะ 4 คนนั้นเป็นไปได้ยากมาก
(ถ้าไม่รีบไปตอนร้านเปิดอะนะ)
เพราะโต๊ะมันคงชิวมาก จนคนนั่งสามารถหอบหนังสือมานั่งอ่าน
หอบงานหอบการ หอบโน้ตบุ๊คมานั่งทำได้เรื่อยๆ
เราก็ทำได้แค่มองเค้า จากในห้องแอร์
ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็เย็น ><"
แต่ไม่ว่านั่งตรงไหน พวกเราก็มีความสุขได้
เวลาเจอกับกลุ่มนี้ทีไร มักจะมาแชร์เรื่องราวของแต่ละคนให้กันฟัง
บางเรื่องก้อไม่คาดคิด ว่าจะมีอะไรแบบนี้อยู่จริง
บางเรื่องก็สนุกสนานเฮฮา
อยู่ด้วยกันทีไรแล้วแฮปปี้ทุกที
ขอปิดทริปกินตัวแตกเพียงเท่านี้ : )
วันเสาร์ของชั้นหมดไปอย่างรวดเร็ว
พรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์ที่เดียวดาย เพราะแม่หนีไปเที่ยวสวนสน
แล้วก็วันจันทร์ ที่ต้องกลับไปเจอมรสุมงาน
แต่มีเรื่องดีคือ แอนสันกำลังจะมาทำงานที่นี่ 2 สัปดาห์
ตุลาคม เดือนอันแสนหนักหน่วงของชั้น
ขอให้มันผ่านไปได้ด้วยดี
ฮึบๆ
Decision
Consider >> Decision
การตัดสินใจ
บางครั้ง มันอาจเป็นผลลัพธ์ของการใคร่ครวญมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
แต่ในบางครั้ง มันอาจจะเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบได้เช่นกัน
ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กๆ หรือเรื่องใหญ่ก็ตาม
สำหรับบางเรื่อง .. .
กว่าเราจะรู้ว่า การตัดสินใจนั้นถูกหรือผิด
เราต้องใช้เวลาลองถูกลองผิด
เราปรับ ลองแก้ไข ทำความเข้าใจ และความพยายาม
ในเวลาเดียวกัน
มันก็มีความสับสนเกิดขึ้นตลอดเวลา
เพราะคอยแต่ถามตัวเองว่า ที่ตัดสินใจลงไป
มันเป็นทางที่เหมาะกับชีวิตเราแล้วรึยัง
บางที การคิดย้ำๆแบบนี้มันก็เหนื่อย
จนบางที อยากจะหนี ในบางครั้ง
อยากทำยังไงก็ได้ให้หยุดคิด
เพราะตอนที่คิด ความร่าเริงมันมักจะหายไปจากชีวิต
อยากกลับมาเป็นคนเดิม
ไม่อยากเป็นคนคิดมากแบบนี้อีกแล้ว
แต่ถ้าไม่คิด จะรู้ได้ไงว่า
การตัดสินใจของเรานั้นมันถูกหรือผิด
แล้วเราจะต้องอยู่กับสิ่งนั้นไปอีกนานเท่าไหร่
แต่เราก็เชื่อ ...
ว่าเรื่องทุกเรื่อง มันมีเวลากำหนด
เมื่อถึงเวลา เราจะค่อยๆเห็นภาพต่างๆชัดขึ้น
และเมื่อถึงเวลานั้น ก็จะเป็นเวลาของการทบทวน
Reconsider
ก็ถึง step if-else อีกครั้ง
ถ้าถึงตอนนั้น คิดว่ามันใช่ เราก็คงมีความสุข
เลิกต้องพยายาม และเลิกสับสัน
:)
มันไม่ใช่ มันคงไม่มีอะไรสายเกิดไปที่จะแก้ไข
ก็แค่คงถึงจุดที่ต้องตัดสินใจใหม่
แล้วก็วนลูปอีกครั้ง
เพราะเหตุนี้ การตัดสินใจ มันเลยทำให้ชีวิตมันเหนื่อย
เพราะเราต้องคิด ทั้งก่อน และหลังตัดสินใจ
ถ้าก่อนตัดสินใจ เราไม่รอบคอบ เราก็จะต้องมาหนักใจตอนหลัง
แต่ถ้าเรารอบคอบเกินไป บางทีมันอาจจะทำให้เราพลาดโอกาสที่จะได้ลอง
ลองทำอะไรที่คิดว่าอาจจะเหมาะกับเรา
แถมในชีวิต เรามีเรื่องต้องตัดสินใจหลายครั้งต่อหลายครั้ง
ตอนเลือกคณะ ก็คิดว่ายากแล้ว
แต่ชีวิตตอนนี้ มันยากกว่าเยอะเลย .. .
นี่ชั้นเพิ่ง 27 เองนะ ไม่อยากจะคิด ว่าถ้าแก่กว่านี้
จะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรเข้ามา
ให้เราต้องตัดสินใจ และทบทวนการตัดสินใจของเรามากมายขนาดไหน
สู้ๆ นะนก :)
ฮึบ
Norwich city trip
วันศุกร์แรกที่สหราชอาณาจักร หลังจากเรียน Java refresher จบ
พวกเรา (คิดว่าตัวเอง) ว่าง เลยชักชวนกันออกไปเทียวในเมือง
หลังจากปล่อยเซโกะเข้าไปผจญภัยคนเดียวหลายวัน
ตอนนี้ สมัครบัตรถเมล์ของ First แบบรายปีเรียบร้อยแล้ว
ค่าบัตร 215 ปอนด์ บวกค่าประกันบัตรหายอีก 25 ปอนด์
ประกัน จะไม่ทำ ก็ไม่ไว้ใจตัวเอง ประวัติของหายค่อนข้างสูง
เบ็จเสร็จ 240 ปอนด์ แม่จ้าวววว !! ค่ารถเมล์ปีนึง 12,000 บาทถ้วน
แต่ถ้าไม่ทำ ก็ต้องเสียเป็นรายเที่ยว ไป-กลับ 4 ปอนด์
กับอีแค่ไม่กี่ป้าย นั่งไม่ถึงครึ่ง ชม. 200 บาท
อยากจะแนะนำให้ไปดูงาน ขสมก !!
อยู่บ้านเรานั่งหลายสิบโลก็แค่ 10-20 บาทเท่านั้น
แล้วจะบ่นไปทำไม ในเมื่อก็ต้องใช้อยู่ดี จะไม่ง้อก็ไม่ได้
ในมหาลัยมันขาดสิ่งสาธารณูปโภคทั้งหลาย ของใน shop ก็สุดแพง
โรงอาหาร ก็มีแต่เมนูเดิมๆ เอะอะๆเราจึงต้องเข้าเมือง
เน้นใช้ให้คุ้มเอาละกัน ยังไงๆก็ซื้อไปแล้ว
กลับมาเรื่องเที่ยวต่อ!
จาก UEA จะไป City Center นั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่ประการใด
เพราะเรามีรถเมล์ 3 สาย มารับจากใน ม
ทั้งสาย 25 25A และ X25 รถก็ค่อนข้างเยอะ
เราจึงไม่ค่อยจะเสียเวลารอรถเมล์กันซักเท่าไหร่นัก
จุดหมายปลายทางแรกของเราวันนี้คือ Norwich Castle
นั่งรถเมล์เลย City Centre ไปหนึ่งป้ายถ้วน
จะเห็นปราสาท และป้อมปราการสูงๆ อยู่ด้านขวามือ
ลงรถเมล์แบบไม่ต้องลังเล ใครหาไม่เจอก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
อากาศวันนี้ ค่อนข้างหนาวน้อยกว่าวันก่อนๆ
แต่ตัวเดี๊ยน คิดว่าอยู่ข้างนอกทั้งวัน ถ้าหนาวเดี๋ยวจะแย่
เลยจะเต็ม ทั้งโค้ท และรองเท้าบูทแบบหนาๆ
เสียค่าเข้าชมปราสาทสำหรับ นศ 1 ชม = 1 ปอนด์ถ้วน
ภายในปราสาท เป็นเหมือนห้องโถงใหญ่มากกตรงกลาง ชั้นบนเป็นระเบียง
มีทางเชื่อมไป Gallery มีภาพวาดเยอะมาก หลายจิตรกร หลายรูปแบบ
ประทับใจรูปวาด สามมิติมาก เก่งมากจิงๆ ที่วาดได้สมจริงและสวยขนาดนี้
ลงไปชั้นใต้ดิน เป็นคุกเก่า บรรยากาศวังเวง
นี่คือทั้งหมดของปราสาทนี้ เราสามารถใช้เวลา 1 ชมได้อย่างพอดี๊พอดี
แล้วก็ออกมา ส่วนด้านนอก เป็นส่วนจัดแสดงสัตว์ต่างๆที่อยู่แถบนี้
มีทั้งสัตว์ที่เหมือนๆกับประเทศเรา แล้วก็สัตว์แปลกๆของที่นี่ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เดินไปเดินมา ก็เป็นเวลาบ่ายสองพอดี ถึงเวลาของกระเพาะอาหาร
ตอนนี้ร่างกายเริ่มปรับเวลาได้แล้ว ไม่ตื่นตอน ตี4 ตี5 เหมือนช่วงมาแรกๆ
เดินวนนอกปราสาท 1 รอบ ชมวิวมุมสูงของเมือง
จากนั้น พวกเราก็เดินตามหาของกิน
อาหารมื้อส่งท้ายเซโกะกลับลอนดอน เราเลยกินหรูหน่อยวันนี้
เป็นร้านอาหารอิตาลี ชื่อ Bella Italia
มิ้นท์เสิชเจอคนแนะนำร้านนี้ ตอนเดินหาร้านอาหาร
หลังจากนั้นไม่นานก็ค้นพบว่า ร้านนี้มีหลายสาขาในนอริช
มาอยู่ที่นี่ กว่าจะสั่งอาหารได้ ต้องใช้เวลาพอสมควร
กว่าจะพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร
สุดท้าย พวกเราก็ได้พิซซ่า พาสต้า และสลัดมา
ทั้งสามอย่างอร่อยหมดเลย ประทับใจ
แต่ที่ประทับใจกว่านั้นคือ .. .
น้ำองุ่นซ่า Grapetizer
กินแล้วรักเลย แต่หาซื้อตาม supermarket ไม่ได้
และยังคงตามหาอยู่จนถึงตอนนี้
เพราะจะให้สั่งกินตามร้านตลอดคงไม่ไหว
ขวดนิดนึง ร้อยกว่าบาท
และถึงแม้ว่า พวกเราจะอิ่มกับพิซซ่ามาก
แต่เราก้อยังอยากลองของหวานอยู่ดี เนื่องจากได้ยินมาว่า
ร้าน Patisserie Valerie เป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่
ขอจัดซักทีเลยละกัน
ร้านเค้กร้านนี้ ถ้าสั่งกลับบ้าน จะถูกกว่านั่งในร้านชิ้นละปอนด์เลย
แต่พวกเราก็เลือกนั่งกินในร้าน เพราะอยากนั่งกินรับลมด้านนอก
แต่พอเข้าไป เค้าบอกว่าโซนด้านนอกกำลังจะปิด เลยอด!!
พวกเรา 3 คนสั่งเค้ก 2 ชิ้นเพราะความอิ่มสะสม
ซึ่งถือเป็นความโชคดีมาก เพราะเค้กชิ้นใหญ่มากกก
กินกันจนจากอร่อย จนเลี่ยน
ประทับใจเค้กชิ้นด้านในมาก เนื้อเค้กเป็นแป้งพาย มีสอดไส้ครีมสด
อร่อยฝุดๆ เห็นรูปแล้วก็อยากกินอีก
หลังจากอัพรูปไป พี่บอมบ์ก็มาแนะนำเค้กอีกสองสามอย่าง
คงจะต้องหาเวลากลับไปกินอีกซักรอบ
ขอจบทริปวันนี้ไว้ที่ตรงนี้
เตรียมเข้าลอนดอนไปส่งเซโกะในวันถัดรุ่งขึ้น
เรื่องราวฝังใจ ของการขึ้นรถไฟครั้งแรกที่นี่
แล้วจะหาเวลามาอัพใหม่
: )
.
.
.
ว่าด้วยเรื่อง KFC ที่อังกฤษ!
วันก่อน นั่งรถเมล์ไป Morrisons เห็น KFC อยู่แว๊บๆ
เลยนึกอยากกิน ตอนเข้าเมืองครั้งที่ 2 เลยชวนมิ้นกับเซโกะไปกินกัน
แต่พอจะเริ่มเดิน ก้อสับสนว่าควรจะเดินไปทางไหน
เลยเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เปิด Google maps ตามหาทางไป KFC . ..
มันคือความเหมือนที่แตกต่างกับ KFC ที่เมืองไทย
สิ่งที่เหมือนก็คงจะเป็น ชื่อร้าน กับไก่ทอด!
เมนูต่างๆนานาๆ ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ไก่ทอดก็ไม่มีให้เลือกหนังกรอบ หรือหนังนุ่มแบบบ้านเรา
ชุดครอบครัว ก็มีให้เลือกน้อยกว่า แถมเครื่องเคียงไม่ค่อยหลากหลาย
สุดท้าย พวกเราได้ ชุดบัคเก็ต ไก่ 6 ชิ้น และ เฟรนฟราย 4 ห่อ
ในเซ็ต ไม่มีน้ำให้ ถ้าจะกินโค้ก ต้องสั่งขวดลิตรแยก
ใครมันจะไปกินไหว เลยจบที่ tap water ตามเคย
KFC ที่นี่ เค้าไม่มีจาน ส้อม มีด ให้เราเหมือนเมืองไทย
แถมอยากกินซอสก็ต้องขอ เพราะที่เค้าเตอร์มันมีวางให้แต่พริกไทย
พนักงาน ก็ให้มาแบบ งกๆ ต้องเดินไปขอเพิ่มอยู่หลายรอบ
เวลากิน ก้อต้องใช้มือ เพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรให้เลย
เค้าเลยมี Alcohol tissue วางไว้ให้
นับเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และแตกต่างออกไปจากที่เคย
แต่สุดท้าย ก็อิ่มอร่อย ออกจากร้าน
ถือเป็นความอร่อยที่แตกต่างละกัน
: )
เดินไปเดินมา ก็เป็นเวลาบ่ายสองพอดี ถึงเวลาของกระเพาะอาหาร
ตอนนี้ร่างกายเริ่มปรับเวลาได้แล้ว ไม่ตื่นตอน ตี4 ตี5 เหมือนช่วงมาแรกๆ
เดินวนนอกปราสาท 1 รอบ ชมวิวมุมสูงของเมือง
จากนั้น พวกเราก็เดินตามหาของกิน
อาหารมื้อส่งท้ายเซโกะกลับลอนดอน เราเลยกินหรูหน่อยวันนี้
เป็นร้านอาหารอิตาลี ชื่อ Bella Italia
มิ้นท์เสิชเจอคนแนะนำร้านนี้ ตอนเดินหาร้านอาหาร
หลังจากนั้นไม่นานก็ค้นพบว่า ร้านนี้มีหลายสาขาในนอริช
มาอยู่ที่นี่ กว่าจะสั่งอาหารได้ ต้องใช้เวลาพอสมควร
กว่าจะพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร
สุดท้าย พวกเราก็ได้พิซซ่า พาสต้า และสลัดมา
ทั้งสามอย่างอร่อยหมดเลย ประทับใจ
แต่ที่ประทับใจกว่านั้นคือ .. .
น้ำองุ่นซ่า Grapetizer
กินแล้วรักเลย แต่หาซื้อตาม supermarket ไม่ได้
และยังคงตามหาอยู่จนถึงตอนนี้
เพราะจะให้สั่งกินตามร้านตลอดคงไม่ไหว
ขวดนิดนึง ร้อยกว่าบาท
และถึงแม้ว่า พวกเราจะอิ่มกับพิซซ่ามาก
แต่เราก้อยังอยากลองของหวานอยู่ดี เนื่องจากได้ยินมาว่า
ร้าน Patisserie Valerie เป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่
ขอจัดซักทีเลยละกัน
ร้านเค้กร้านนี้ ถ้าสั่งกลับบ้าน จะถูกกว่านั่งในร้านชิ้นละปอนด์เลย
แต่พวกเราก็เลือกนั่งกินในร้าน เพราะอยากนั่งกินรับลมด้านนอก
แต่พอเข้าไป เค้าบอกว่าโซนด้านนอกกำลังจะปิด เลยอด!!
พวกเรา 3 คนสั่งเค้ก 2 ชิ้นเพราะความอิ่มสะสม
ซึ่งถือเป็นความโชคดีมาก เพราะเค้กชิ้นใหญ่มากกก
กินกันจนจากอร่อย จนเลี่ยน
ประทับใจเค้กชิ้นด้านในมาก เนื้อเค้กเป็นแป้งพาย มีสอดไส้ครีมสด
อร่อยฝุดๆ เห็นรูปแล้วก็อยากกินอีก
หลังจากอัพรูปไป พี่บอมบ์ก็มาแนะนำเค้กอีกสองสามอย่าง
คงจะต้องหาเวลากลับไปกินอีกซักรอบ
ขอจบทริปวันนี้ไว้ที่ตรงนี้
เตรียมเข้าลอนดอนไปส่งเซโกะในวันถัดรุ่งขึ้น
เรื่องราวฝังใจ ของการขึ้นรถไฟครั้งแรกที่นี่
แล้วจะหาเวลามาอัพใหม่
: )
.
.
.
ว่าด้วยเรื่อง KFC ที่อังกฤษ!
วันก่อน นั่งรถเมล์ไป Morrisons เห็น KFC อยู่แว๊บๆ
เลยนึกอยากกิน ตอนเข้าเมืองครั้งที่ 2 เลยชวนมิ้นกับเซโกะไปกินกัน
แต่พอจะเริ่มเดิน ก้อสับสนว่าควรจะเดินไปทางไหน
เลยเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เปิด Google maps ตามหาทางไป KFC . ..
มันคือความเหมือนที่แตกต่างกับ KFC ที่เมืองไทย
สิ่งที่เหมือนก็คงจะเป็น ชื่อร้าน กับไก่ทอด!
เมนูต่างๆนานาๆ ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ไก่ทอดก็ไม่มีให้เลือกหนังกรอบ หรือหนังนุ่มแบบบ้านเรา
ชุดครอบครัว ก็มีให้เลือกน้อยกว่า แถมเครื่องเคียงไม่ค่อยหลากหลาย
สุดท้าย พวกเราได้ ชุดบัคเก็ต ไก่ 6 ชิ้น และ เฟรนฟราย 4 ห่อ
ในเซ็ต ไม่มีน้ำให้ ถ้าจะกินโค้ก ต้องสั่งขวดลิตรแยก
ใครมันจะไปกินไหว เลยจบที่ tap water ตามเคย
KFC ที่นี่ เค้าไม่มีจาน ส้อม มีด ให้เราเหมือนเมืองไทย
แถมอยากกินซอสก็ต้องขอ เพราะที่เค้าเตอร์มันมีวางให้แต่พริกไทย
พนักงาน ก็ให้มาแบบ งกๆ ต้องเดินไปขอเพิ่มอยู่หลายรอบ
เวลากิน ก้อต้องใช้มือ เพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรให้เลย
เค้าเลยมี Alcohol tissue วางไว้ให้
นับเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และแตกต่างออกไปจากที่เคย
แต่สุดท้าย ก็อิ่มอร่อย ออกจากร้าน
ถือเป็นความอร่อยที่แตกต่างละกัน
: )
Norwich city trip
วันศุกร์แรกที่สหราชอาณาจักร หลังจากเรียน Java refresher จบ
พวกเรา (คิดว่าตัวเอง) ว่าง เลยชักชวนกันออกไปเทียวในเมือง
หลังจากปล่อยเซโกะเข้าไปผจญภัยคนเดียวหลายวัน
ตอนนี้ สมัครบัตรถเมล์ของ First แบบรายปีเรียบร้อยแล้ว
ค่าบัตร 215 ปอนด์ บวกค่าประกันบัตรหายอีก 25 ปอนด์
ประกัน จะไม่ทำ ก็ไม่ไว้ใจตัวเอง ประวัติของหายค่อนข้างสูง
เบ็จเสร็จ 240 ปอนด์ แม่จ้าวววว !! ค่ารถเมล์ปีนึง 12,000 บาทถ้วน
แต่ถ้าไม่ทำ ก็ต้องเสียเป็นรายเที่ยว ไป-กลับ 4 ปอนด์
กับอีแค่ไม่กี่ป้าย นั่งไม่ถึงครึ่ง ชม. 200 บาท
อยากจะแนะนำให้ไปดูงาน ขสมก !!
อยู่บ้านเรานั่งหลายสิบโลก็แค่ 10-20 บาทเท่านั้น
แล้วจะบ่นไปทำไม ในเมื่อก็ต้องใช้อยู่ดี จะไม่ง้อก็ไม่ได้
ในมหาลัยมันขาดสิ่งสาธารณูปโภคทั้งหลาย ของใน shop ก็สุดแพง
โรงอาหาร ก็มีแต่เมนูเดิมๆ เอะอะๆเราจึงต้องเข้าเมือง
เน้นใช้ให้คุ้มเอาละกัน ยังไงๆก็ซื้อไปแล้ว
กลับมาเรื่องเที่ยวต่อ!
จาก UEA จะไป City Center นั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่ประการใด
เพราะเรามีรถเมล์ 3 สาย มารับจากใน ม
ทั้งสาย 25 25A และ X25 รถก็ค่อนข้างเยอะ
เราจึงไม่ค่อยจะเสียเวลารอรถเมล์กันซักเท่าไหร่นัก
จุดหมายปลายทางแรกของเราวันนี้คือ Norwich Castle
นั่งรถเมล์เลย City Centre ไปหนึ่งป้ายถ้วน
จะเห็นปราสาท และป้อมปราการสูงๆ อยู่ด้านขวามือ
ลงรถเมล์แบบไม่ต้องลังเล ใครหาไม่เจอก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
อากาศวันนี้ ค่อนข้างหนาวน้อยกว่าวันก่อนๆ
แต่ตัวเดี๊ยน คิดว่าอยู่ข้างนอกทั้งวัน ถ้าหนาวเดี๋ยวจะแย่
เลยจะเต็ม ทั้งโค้ท และรองเท้าบูทแบบหนาๆ
เสียค่าเข้าชมปราสาทสำหรับ นศ 1 ชม = 1 ปอนด์ถ้วน
ภายในปราสาท เป็นเหมือนห้องโถงใหญ่มากกตรงกลาง ชั้นบนเป็นระเบียง
มีทางเชื่อมไป Gallery มีภาพวาดเยอะมาก หลายจิตรกร หลายรูปแบบ
ประทับใจรูปวาด สามมิติมาก เก่งมากจิงๆ ที่วาดได้สมจริงและสวยขนาดนี้
ลงไปชั้นใต้ดิน เป็นคุกเก่า บรรยากาศวังเวง
นี่คือทั้งหมดของปราสาทนี้ เราสามารถใช้เวลา 1 ชมได้อย่างพอดี๊พอดี
แล้วก็ออกมา ส่วนด้านนอก เป็นส่วนจัดแสดงสัตว์ต่างๆที่อยู่แถบนี้
มีทั้งสัตว์ที่เหมือนๆกับประเทศเรา แล้วก็สัตว์แปลกๆของที่นี่ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เดินไปเดินมา ก็เป็นเวลาบ่ายสองพอดี ถึงเวลาของกระเพาะอาหาร
ตอนนี้ร่างกายเริ่มปรับเวลาได้แล้ว ไม่ตื่นตอน ตี4 ตี5 เหมือนช่วงมาแรกๆ
เดินวนนอกปราสาท 1 รอบ ชมวิวมุมสูงของเมือง
จากนั้น พวกเราก็เดินตามหาของกิน
อาหารมื้อส่งท้ายเซโกะกลับลอนดอน เราเลยกินหรูหน่อยวันนี้
เป็นร้านอาหารอิตาลี ชื่อ Bella Italia
มิ้นท์เสิชเจอคนแนะนำร้านนี้ ตอนเดินหาร้านอาหาร
หลังจากนั้นไม่นานก็ค้นพบว่า ร้านนี้มีหลายสาขาในนอริช
มาอยู่ที่นี่ กว่าจะสั่งอาหารได้ ต้องใช้เวลาพอสมควร
กว่าจะพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร
สุดท้าย พวกเราก็ได้พิซซ่า พาสต้า และสลัดมา
ทั้งสามอย่างอร่อยหมดเลย ประทับใจ
แต่ที่ประทับใจกว่านั้นคือ .. .
น้ำองุ่นซ่า Grapetizer
กินแล้วรักเลย แต่หาซื้อตาม supermarket ไม่ได้
และยังคงตามหาอยู่จนถึงตอนนี้
เพราะจะให้สั่งกินตามร้านตลอดคงไม่ไหว
ขวดนิดนึง ร้อยกว่าบาท
และถึงแม้ว่า พวกเราจะอิ่มกับพิซซ่ามาก
แต่เราก้อยังอยากลองของหวานอยู่ดี เนื่องจากได้ยินมาว่า
ร้าน Patisserie Valerie เป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่
ขอจัดซักทีเลยละกัน
ร้านเค้กร้านนี้ ถ้าสั่งกลับบ้าน จะถูกกว่านั่งในร้านชิ้นละปอนด์เลย
แต่พวกเราก็เลือกนั่งกินในร้าน เพราะอยากนั่งกินรับลมด้านนอก
แต่พอเข้าไป เค้าบอกว่าโซนด้านนอกกำลังจะปิด เลยอด!!
พวกเรา 3 คนสั่งเค้ก 2 ชิ้นเพราะความอิ่มสะสม
ซึ่งถือเป็นความโชคดีมาก เพราะเค้กชิ้นใหญ่มากกก
กินกันจนจากอร่อย จนเลี่ยน
ประทับใจเค้กชิ้นด้านในมาก เนื้อเค้กเป็นแป้งพาย มีสอดไส้ครีมสด
อร่อยฝุดๆ เห็นรูปแล้วก็อยากกินอีก
หลังจากอัพรูปไป พี่บอมบ์ก็มาแนะนำเค้กอีกสองสามอย่าง
คงจะต้องหาเวลากลับไปกินอีกซักรอบ
ขอจบทริปวันนี้ไว้ที่ตรงนี้
เตรียมเข้าลอนดอนไปส่งเซโกะในวันถัดรุ่งขึ้น
เรื่องราวฝังใจ ของการขึ้นรถไฟครั้งแรกที่นี่
แล้วจะหาเวลามาอัพใหม่
: )
.
.
.
ว่าด้วยเรื่อง KFC ที่อังกฤษ!
วันก่อน นั่งรถเมล์ไป Morrisons เห็น KFC อยู่แว๊บๆ
เลยนึกอยากกิน ตอนเข้าเมืองครั้งที่ 2 เลยชวนมิ้นกับเซโกะไปกินกัน
แต่พอจะเริ่มเดิน ก้อสับสนว่าควรจะเดินไปทางไหน
เลยเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เปิด Google maps ตามหาทางไป KFC . ..
มันคือความเหมือนที่แตกต่างกับ KFC ที่เมืองไทย
สิ่งที่เหมือนก็คงจะเป็น ชื่อร้าน กับไก่ทอด!
เมนูต่างๆนานาๆ ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ไก่ทอดก็ไม่มีให้เลือกหนังกรอบ หรือหนังนุ่มแบบบ้านเรา
ชุดครอบครัว ก็มีให้เลือกน้อยกว่า แถมเครื่องเคียงไม่ค่อยหลากหลาย
สุดท้าย พวกเราได้ ชุดบัคเก็ต ไก่ 6 ชิ้น และ เฟรนฟราย 4 ห่อ
ในเซ็ต ไม่มีน้ำให้ ถ้าจะกินโค้ก ต้องสั่งขวดลิตรแยก
ใครมันจะไปกินไหว เลยจบที่ tap water ตามเคย
KFC ที่นี่ เค้าไม่มีจาน ส้อม มีด ให้เราเหมือนเมืองไทย
แถมอยากกินซอสก็ต้องขอ เพราะที่เค้าเตอร์มันมีวางให้แต่พริกไทย
พนักงาน ก็ให้มาแบบ งกๆ ต้องเดินไปขอเพิ่มอยู่หลายรอบ
เวลากิน ก้อต้องใช้มือ เพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรให้เลย
เค้าเลยมี Alcohol tissue วางไว้ให้
นับเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และแตกต่างออกไปจากที่เคย
แต่สุดท้าย ก็อิ่มอร่อย ออกจากร้าน
ถือเป็นความอร่อยที่แตกต่างละกัน
: )
เดินไปเดินมา ก็เป็นเวลาบ่ายสองพอดี ถึงเวลาของกระเพาะอาหาร
ตอนนี้ร่างกายเริ่มปรับเวลาได้แล้ว ไม่ตื่นตอน ตี4 ตี5 เหมือนช่วงมาแรกๆ
เดินวนนอกปราสาท 1 รอบ ชมวิวมุมสูงของเมือง
จากนั้น พวกเราก็เดินตามหาของกิน
อาหารมื้อส่งท้ายเซโกะกลับลอนดอน เราเลยกินหรูหน่อยวันนี้
เป็นร้านอาหารอิตาลี ชื่อ Bella Italia
มิ้นท์เสิชเจอคนแนะนำร้านนี้ ตอนเดินหาร้านอาหาร
หลังจากนั้นไม่นานก็ค้นพบว่า ร้านนี้มีหลายสาขาในนอริช
มาอยู่ที่นี่ กว่าจะสั่งอาหารได้ ต้องใช้เวลาพอสมควร
กว่าจะพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร
สุดท้าย พวกเราก็ได้พิซซ่า พาสต้า และสลัดมา
ทั้งสามอย่างอร่อยหมดเลย ประทับใจ
แต่ที่ประทับใจกว่านั้นคือ .. .
น้ำองุ่นซ่า Grapetizer
กินแล้วรักเลย แต่หาซื้อตาม supermarket ไม่ได้
และยังคงตามหาอยู่จนถึงตอนนี้
เพราะจะให้สั่งกินตามร้านตลอดคงไม่ไหว
ขวดนิดนึง ร้อยกว่าบาท
และถึงแม้ว่า พวกเราจะอิ่มกับพิซซ่ามาก
แต่เราก้อยังอยากลองของหวานอยู่ดี เนื่องจากได้ยินมาว่า
ร้าน Patisserie Valerie เป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่
ขอจัดซักทีเลยละกัน
ร้านเค้กร้านนี้ ถ้าสั่งกลับบ้าน จะถูกกว่านั่งในร้านชิ้นละปอนด์เลย
แต่พวกเราก็เลือกนั่งกินในร้าน เพราะอยากนั่งกินรับลมด้านนอก
แต่พอเข้าไป เค้าบอกว่าโซนด้านนอกกำลังจะปิด เลยอด!!
พวกเรา 3 คนสั่งเค้ก 2 ชิ้นเพราะความอิ่มสะสม
ซึ่งถือเป็นความโชคดีมาก เพราะเค้กชิ้นใหญ่มากกก
กินกันจนจากอร่อย จนเลี่ยน
ประทับใจเค้กชิ้นด้านในมาก เนื้อเค้กเป็นแป้งพาย มีสอดไส้ครีมสด
อร่อยฝุดๆ เห็นรูปแล้วก็อยากกินอีก
หลังจากอัพรูปไป พี่บอมบ์ก็มาแนะนำเค้กอีกสองสามอย่าง
คงจะต้องหาเวลากลับไปกินอีกซักรอบ
ขอจบทริปวันนี้ไว้ที่ตรงนี้
เตรียมเข้าลอนดอนไปส่งเซโกะในวันถัดรุ่งขึ้น
เรื่องราวฝังใจ ของการขึ้นรถไฟครั้งแรกที่นี่
แล้วจะหาเวลามาอัพใหม่
: )
.
.
.
ว่าด้วยเรื่อง KFC ที่อังกฤษ!
วันก่อน นั่งรถเมล์ไป Morrisons เห็น KFC อยู่แว๊บๆ
เลยนึกอยากกิน ตอนเข้าเมืองครั้งที่ 2 เลยชวนมิ้นกับเซโกะไปกินกัน
แต่พอจะเริ่มเดิน ก้อสับสนว่าควรจะเดินไปทางไหน
เลยเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เปิด Google maps ตามหาทางไป KFC . ..
มันคือความเหมือนที่แตกต่างกับ KFC ที่เมืองไทย
สิ่งที่เหมือนก็คงจะเป็น ชื่อร้าน กับไก่ทอด!
เมนูต่างๆนานาๆ ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ไก่ทอดก็ไม่มีให้เลือกหนังกรอบ หรือหนังนุ่มแบบบ้านเรา
ชุดครอบครัว ก็มีให้เลือกน้อยกว่า แถมเครื่องเคียงไม่ค่อยหลากหลาย
สุดท้าย พวกเราได้ ชุดบัคเก็ต ไก่ 6 ชิ้น และ เฟรนฟราย 4 ห่อ
ในเซ็ต ไม่มีน้ำให้ ถ้าจะกินโค้ก ต้องสั่งขวดลิตรแยก
ใครมันจะไปกินไหว เลยจบที่ tap water ตามเคย
KFC ที่นี่ เค้าไม่มีจาน ส้อม มีด ให้เราเหมือนเมืองไทย
แถมอยากกินซอสก็ต้องขอ เพราะที่เค้าเตอร์มันมีวางให้แต่พริกไทย
พนักงาน ก็ให้มาแบบ งกๆ ต้องเดินไปขอเพิ่มอยู่หลายรอบ
เวลากิน ก้อต้องใช้มือ เพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรให้เลย
เค้าเลยมี Alcohol tissue วางไว้ให้
นับเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และแตกต่างออกไปจากที่เคย
แต่สุดท้าย ก็อิ่มอร่อย ออกจากร้าน
ถือเป็นความอร่อยที่แตกต่างละกัน
: )
Norwich city trip
วันศุกร์แรกที่สหราชอาณาจักร หลังจากเรียน Java refresher จบ
พวกเรา (คิดว่าตัวเอง) ว่าง เลยชักชวนกันออกไปเทียวในเมือง
หลังจากปล่อยเซโกะเข้าไปผจญภัยคนเดียวหลายวัน
ตอนนี้ สมัครบัตรถเมล์ของ First แบบรายปีเรียบร้อยแล้ว
ค่าบัตร 215 ปอนด์ บวกค่าประกันบัตรหายอีก 25 ปอนด์
ประกัน จะไม่ทำ ก็ไม่ไว้ใจตัวเอง ประวัติของหายค่อนข้างสูง
เบ็จเสร็จ 240 ปอนด์ แม่จ้าวววว !! ค่ารถเมล์ปีนึง 12,000 บาทถ้วน
แต่ถ้าไม่ทำ ก็ต้องเสียเป็นรายเที่ยว ไป-กลับ 4 ปอนด์
กับอีแค่ไม่กี่ป้าย นั่งไม่ถึงครึ่ง ชม. 200 บาท
อยากจะแนะนำให้ไปดูงาน ขสมก !!
อยู่บ้านเรานั่งหลายสิบโลก็แค่ 10-20 บาทเท่านั้น
แล้วจะบ่นไปทำไม ในเมื่อก็ต้องใช้อยู่ดี จะไม่ง้อก็ไม่ได้
ในมหาลัยมันขาดสิ่งสาธารณูปโภคทั้งหลาย ของใน shop ก็สุดแพง
โรงอาหาร ก็มีแต่เมนูเดิมๆ เอะอะๆเราจึงต้องเข้าเมือง
เน้นใช้ให้คุ้มเอาละกัน ยังไงๆก็ซื้อไปแล้ว
กลับมาเรื่องเที่ยวต่อ!
จาก UEA จะไป City Center นั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่ประการใด
เพราะเรามีรถเมล์ 3 สาย มารับจากใน ม
ทั้งสาย 25 25A และ X25 รถก็ค่อนข้างเยอะ
เราจึงไม่ค่อยจะเสียเวลารอรถเมล์กันซักเท่าไหร่นัก
จุดหมายปลายทางแรกของเราวันนี้คือ Norwich Castle
นั่งรถเมล์เลย City Centre ไปหนึ่งป้ายถ้วน
จะเห็นปราสาท และป้อมปราการสูงๆ อยู่ด้านขวามือ
ลงรถเมล์แบบไม่ต้องลังเล ใครหาไม่เจอก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
อากาศวันนี้ ค่อนข้างหนาวน้อยกว่าวันก่อนๆ
แต่ตัวเดี๊ยน คิดว่าอยู่ข้างนอกทั้งวัน ถ้าหนาวเดี๋ยวจะแย่
เลยจะเต็ม ทั้งโค้ท และรองเท้าบูทแบบหนาๆ
เสียค่าเข้าชมปราสาทสำหรับ นศ 1 ชม = 1 ปอนด์ถ้วน
ภายในปราสาท เป็นเหมือนห้องโถงใหญ่มากกตรงกลาง ชั้นบนเป็นระเบียง
มีทางเชื่อมไป Gallery มีภาพวาดเยอะมาก หลายจิตรกร หลายรูปแบบ
ประทับใจรูปวาด สามมิติมาก เก่งมากจิงๆ ที่วาดได้สมจริงและสวยขนาดนี้
ลงไปชั้นใต้ดิน เป็นคุกเก่า บรรยากาศวังเวง
นี่คือทั้งหมดของปราสาทนี้ เราสามารถใช้เวลา 1 ชมได้อย่างพอดี๊พอดี
แล้วก็ออกมา ส่วนด้านนอก เป็นส่วนจัดแสดงสัตว์ต่างๆที่อยู่แถบนี้
มีทั้งสัตว์ที่เหมือนๆกับประเทศเรา แล้วก็สัตว์แปลกๆของที่นี่ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เดินไปเดินมา ก็เป็นเวลาบ่ายสองพอดี ถึงเวลาของกระเพาะอาหาร
ตอนนี้ร่างกายเริ่มปรับเวลาได้แล้ว ไม่ตื่นตอน ตี4 ตี5 เหมือนช่วงมาแรกๆ
เดินวนนอกปราสาท 1 รอบ ชมวิวมุมสูงของเมือง
จากนั้น พวกเราก็เดินตามหาของกิน
อาหารมื้อส่งท้ายเซโกะกลับลอนดอน เราเลยกินหรูหน่อยวันนี้
เป็นร้านอาหารอิตาลี ชื่อ Bella Italia
มิ้นท์เสิชเจอคนแนะนำร้านนี้ ตอนเดินหาร้านอาหาร
หลังจากนั้นไม่นานก็ค้นพบว่า ร้านนี้มีหลายสาขาในนอริช
มาอยู่ที่นี่ กว่าจะสั่งอาหารได้ ต้องใช้เวลาพอสมควร
กว่าจะพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร
สุดท้าย พวกเราก็ได้พิซซ่า พาสต้า และสลัดมา
ทั้งสามอย่างอร่อยหมดเลย ประทับใจ
แต่ที่ประทับใจกว่านั้นคือ .. .
น้ำองุ่นซ่า Grapetizer
กินแล้วรักเลย แต่หาซื้อตาม supermarket ไม่ได้
และยังคงตามหาอยู่จนถึงตอนนี้
เพราะจะให้สั่งกินตามร้านตลอดคงไม่ไหว
ขวดนิดนึง ร้อยกว่าบาท
และถึงแม้ว่า พวกเราจะอิ่มกับพิซซ่ามาก
แต่เราก้อยังอยากลองของหวานอยู่ดี เนื่องจากได้ยินมาว่า
ร้าน Patisserie Valerie เป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่
ขอจัดซักทีเลยละกัน
ร้านเค้กร้านนี้ ถ้าสั่งกลับบ้าน จะถูกกว่านั่งในร้านชิ้นละปอนด์เลย
แต่พวกเราก็เลือกนั่งกินในร้าน เพราะอยากนั่งกินรับลมด้านนอก
แต่พอเข้าไป เค้าบอกว่าโซนด้านนอกกำลังจะปิด เลยอด!!
พวกเรา 3 คนสั่งเค้ก 2 ชิ้นเพราะความอิ่มสะสม
ซึ่งถือเป็นความโชคดีมาก เพราะเค้กชิ้นใหญ่มากกก
กินกันจนจากอร่อย จนเลี่ยน
ประทับใจเค้กชิ้นด้านในมาก เนื้อเค้กเป็นแป้งพาย มีสอดไส้ครีมสด
อร่อยฝุดๆ เห็นรูปแล้วก็อยากกินอีก
หลังจากอัพรูปไป พี่บอมบ์ก็มาแนะนำเค้กอีกสองสามอย่าง
คงจะต้องหาเวลากลับไปกินอีกซักรอบ
ขอจบทริปวันนี้ไว้ที่ตรงนี้
เตรียมเข้าลอนดอนไปส่งเซโกะในวันถัดรุ่งขึ้น
เรื่องราวฝังใจ ของการขึ้นรถไฟครั้งแรกที่นี่
แล้วจะหาเวลามาอัพใหม่
: )
.
.
.
ว่าด้วยเรื่อง KFC ที่อังกฤษ!
วันก่อน นั่งรถเมล์ไป Morrisons เห็น KFC อยู่แว๊บๆ
เลยนึกอยากกิน ตอนเข้าเมืองครั้งที่ 2 เลยชวนมิ้นกับเซโกะไปกินกัน
แต่พอจะเริ่มเดิน ก้อสับสนว่าควรจะเดินไปทางไหน
เลยเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เปิด Google maps ตามหาทางไป KFC . ..
มันคือความเหมือนที่แตกต่างกับ KFC ที่เมืองไทย
สิ่งที่เหมือนก็คงจะเป็น ชื่อร้าน กับไก่ทอด!
เมนูต่างๆนานาๆ ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ไก่ทอดก็ไม่มีให้เลือกหนังกรอบ หรือหนังนุ่มแบบบ้านเรา
ชุดครอบครัว ก็มีให้เลือกน้อยกว่า แถมเครื่องเคียงไม่ค่อยหลากหลาย
สุดท้าย พวกเราได้ ชุดบัคเก็ต ไก่ 6 ชิ้น และ เฟรนฟราย 4 ห่อ
ในเซ็ต ไม่มีน้ำให้ ถ้าจะกินโค้ก ต้องสั่งขวดลิตรแยก
ใครมันจะไปกินไหว เลยจบที่ tap water ตามเคย
KFC ที่นี่ เค้าไม่มีจาน ส้อม มีด ให้เราเหมือนเมืองไทย
แถมอยากกินซอสก็ต้องขอ เพราะที่เค้าเตอร์มันมีวางให้แต่พริกไทย
พนักงาน ก็ให้มาแบบ งกๆ ต้องเดินไปขอเพิ่มอยู่หลายรอบ
เวลากิน ก้อต้องใช้มือ เพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรให้เลย
เค้าเลยมี Alcohol tissue วางไว้ให้
นับเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และแตกต่างออกไปจากที่เคย
แต่สุดท้าย ก็อิ่มอร่อย ออกจากร้าน
ถือเป็นความอร่อยที่แตกต่างละกัน
: )
เดินไปเดินมา ก็เป็นเวลาบ่ายสองพอดี ถึงเวลาของกระเพาะอาหาร
ตอนนี้ร่างกายเริ่มปรับเวลาได้แล้ว ไม่ตื่นตอน ตี4 ตี5 เหมือนช่วงมาแรกๆ
เดินวนนอกปราสาท 1 รอบ ชมวิวมุมสูงของเมือง
จากนั้น พวกเราก็เดินตามหาของกิน
อาหารมื้อส่งท้ายเซโกะกลับลอนดอน เราเลยกินหรูหน่อยวันนี้
เป็นร้านอาหารอิตาลี ชื่อ Bella Italia
มิ้นท์เสิชเจอคนแนะนำร้านนี้ ตอนเดินหาร้านอาหาร
หลังจากนั้นไม่นานก็ค้นพบว่า ร้านนี้มีหลายสาขาในนอริช
มาอยู่ที่นี่ กว่าจะสั่งอาหารได้ ต้องใช้เวลาพอสมควร
กว่าจะพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร
สุดท้าย พวกเราก็ได้พิซซ่า พาสต้า และสลัดมา
ทั้งสามอย่างอร่อยหมดเลย ประทับใจ
แต่ที่ประทับใจกว่านั้นคือ .. .
น้ำองุ่นซ่า Grapetizer
กินแล้วรักเลย แต่หาซื้อตาม supermarket ไม่ได้
และยังคงตามหาอยู่จนถึงตอนนี้
เพราะจะให้สั่งกินตามร้านตลอดคงไม่ไหว
ขวดนิดนึง ร้อยกว่าบาท
และถึงแม้ว่า พวกเราจะอิ่มกับพิซซ่ามาก
แต่เราก้อยังอยากลองของหวานอยู่ดี เนื่องจากได้ยินมาว่า
ร้าน Patisserie Valerie เป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่
ขอจัดซักทีเลยละกัน
ร้านเค้กร้านนี้ ถ้าสั่งกลับบ้าน จะถูกกว่านั่งในร้านชิ้นละปอนด์เลย
แต่พวกเราก็เลือกนั่งกินในร้าน เพราะอยากนั่งกินรับลมด้านนอก
แต่พอเข้าไป เค้าบอกว่าโซนด้านนอกกำลังจะปิด เลยอด!!
พวกเรา 3 คนสั่งเค้ก 2 ชิ้นเพราะความอิ่มสะสม
ซึ่งถือเป็นความโชคดีมาก เพราะเค้กชิ้นใหญ่มากกก
กินกันจนจากอร่อย จนเลี่ยน
ประทับใจเค้กชิ้นด้านในมาก เนื้อเค้กเป็นแป้งพาย มีสอดไส้ครีมสด
อร่อยฝุดๆ เห็นรูปแล้วก็อยากกินอีก
หลังจากอัพรูปไป พี่บอมบ์ก็มาแนะนำเค้กอีกสองสามอย่าง
คงจะต้องหาเวลากลับไปกินอีกซักรอบ
ขอจบทริปวันนี้ไว้ที่ตรงนี้
เตรียมเข้าลอนดอนไปส่งเซโกะในวันถัดรุ่งขึ้น
เรื่องราวฝังใจ ของการขึ้นรถไฟครั้งแรกที่นี่
แล้วจะหาเวลามาอัพใหม่
: )
.
.
.
ว่าด้วยเรื่อง KFC ที่อังกฤษ!
วันก่อน นั่งรถเมล์ไป Morrisons เห็น KFC อยู่แว๊บๆ
เลยนึกอยากกิน ตอนเข้าเมืองครั้งที่ 2 เลยชวนมิ้นกับเซโกะไปกินกัน
แต่พอจะเริ่มเดิน ก้อสับสนว่าควรจะเดินไปทางไหน
เลยเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เปิด Google maps ตามหาทางไป KFC . ..
มันคือความเหมือนที่แตกต่างกับ KFC ที่เมืองไทย
สิ่งที่เหมือนก็คงจะเป็น ชื่อร้าน กับไก่ทอด!
เมนูต่างๆนานาๆ ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ไก่ทอดก็ไม่มีให้เลือกหนังกรอบ หรือหนังนุ่มแบบบ้านเรา
ชุดครอบครัว ก็มีให้เลือกน้อยกว่า แถมเครื่องเคียงไม่ค่อยหลากหลาย
สุดท้าย พวกเราได้ ชุดบัคเก็ต ไก่ 6 ชิ้น และ เฟรนฟราย 4 ห่อ
ในเซ็ต ไม่มีน้ำให้ ถ้าจะกินโค้ก ต้องสั่งขวดลิตรแยก
ใครมันจะไปกินไหว เลยจบที่ tap water ตามเคย
KFC ที่นี่ เค้าไม่มีจาน ส้อม มีด ให้เราเหมือนเมืองไทย
แถมอยากกินซอสก็ต้องขอ เพราะที่เค้าเตอร์มันมีวางให้แต่พริกไทย
พนักงาน ก็ให้มาแบบ งกๆ ต้องเดินไปขอเพิ่มอยู่หลายรอบ
เวลากิน ก้อต้องใช้มือ เพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรให้เลย
เค้าเลยมี Alcohol tissue วางไว้ให้
นับเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และแตกต่างออกไปจากที่เคย
แต่สุดท้าย ก็อิ่มอร่อย ออกจากร้าน
ถือเป็นความอร่อยที่แตกต่างละกัน
: )
First week in Norwich
ได้เรียนรู้ ได้พบเจอ ได้ปรับตัวกับอะไรหลายๆอย่างที่นี่
ที่ๆแตกต่างจากบ้านเราเกือบจะสิ้นเชิง
ที่เหมือนอย่างเดียว คงจะเป็นรถพวงมาลัยขวา
อย่างน้อยเราก็ไม่งงตอนข้ามถนน
การปรับตัวอย่างแรกสุดเลย ก็คงเป็นอากาศ
ตอนนี้ อากาศประมาณ 10 กว่าๆ องศา พออยู่ได้ ถ้าลมไม่พัด
เพราะถ้าลมพัดที ลมเย็นจะทะลุผ่านเสื้อหนาวและกางเกงยีนส์ มาถึงชั้นผิวหนังเราอย่างรวดเร็ว
อยู่ได้ 2-3 วัน เราจึงประสบปัญหาผิวหนังแห้งแตกเป็นลาย
เพราะเป็นคนไม่ชอบทาครีม เลยไม่ได้พกมาซักกะขวด
เข้าเมืองไปซื้อครีมที่ Superdrug ตามคำแนะนำในพันทิพ
ได้ครีมยี่ห้อ E45 มา เป็นครีมที่ข้นมาก ลักษณะคล้ายกาว
ไม่มีกลิ่น และคุณสมบัติอื่นใดนอกจากช่วยฟื้นฟูผิวแห้ง
ใช้ไปได้ 2-3 วัน ประทับใจมาก ริ้วรอยที่ขาเริ่มหายไป ของเค้าดีจริง
ส่วนครีมทาหน้า หยิบของยี่ห้อ Simple มา เนื่องจากมันลดราคา
ถูกมากกก ตกขวดละ 100 กว่าบาท
ถือคติ ดีกว่าไม่ทา แต่คงต้องหาครีมตัวใหม่มาใช้หลังขวดนี้หมด
เพราะตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าหน้าแห้งอยู่ดี
การอยู่ที่นี่ เปลี่ยนนิสัยการทาครีมของเราไปลย
จากคนที่ขี้เกียจทาครีม กลายเป็นมีวินัยที่จะทาครีมทุกครั้งหลังอาบน้ำ
กลับไป ผิวสองสีของเรา อาจจะได้รับการเยียวยา ไม่คล้ำเสียอีกต่อไป
อย่างที่สอง คือ เรื่องการกิน
จากคนที่ทำอาหารไม่เป็น ต้องมาใช้ชีวิตอยู่เอง
จะซื้อกินทุกมื้อก้อคงไม่ไหว ต่ำๆ ในมหาลัยก็มื้อละ 4 ปอนด์กว่า
แถมเป็นอาหารฝรั่งที่กินเข้าไปเยอะๆก็เลี่ยน
อาทิเช่น เบคอนชิ้นโต เฟรนฟราย และผักต้ม
แถมที่นี่ เค้าไม่มีซอสแจก เค้าให้เป็นพริกไทย กะแม็กกี้
เลยยิ่งเลี่ยน เข้าไปใหญ่ อยากจะพกซอสติดตัวไว้จริงๆ
โดยมาก เราเลยเลือกที่จะทำอาหารกินเองในห้อง
ดีที่ห้องที่เราเลือก มีครัวและห้องน้ำในตัว
แถมยังมีตู้เย็นอีกด้วย ไม่ต้องไปแย่งกับใคร
พวกเราเลยหาเรื่องไป Supermarket หาของไปเติมตู้เย็นได้ทุกวัน
ทั้งของสด และผลไม้ ข้าวของเครื่องใช้
ปลื้มสตอเบอรี่ กับมะเขือเทศเชอรี่มั่ก อร่อยยใช้ได้
แต่ด้วยสกิลการทำอาหารที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
เราจึงต้องพึ่งผงสำเร็จรูปทั้งหลาย ทั้งโลโบ ไอเชฟ คนอร์
ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจ ทั้งไข่พะโล ลาบหมู และหมูกระเพรา อร่อยใช้ได้
เราคงไม่ลำบากเรื่องอาหารการกินแล้วแหละ 5555
.
.
เรื่องที่สาม คือเรื่องภาษา
มันก็แน่อยู่แล้ว ก็เรามาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
การสื่อสารจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการถามทาง
ถามมันได้วันเว้นวัน ทุกครั้งที่ไปที่ใหม่ๆ
หรือไม่ก็ต้องมีปันหาอะไร ให้ได้ต้องไปติดต่อ
ตอนเรียนปรับพื้นฐานในห้อง ก้อพอเข้าใจ
คงเพราะเนื้อหาไม่ยาก แค่ทบทวน Java ที่เคยเรียนตอน ป ตรี
แต่ปัญหามันเกิดตอนที่เพื่อนในห้องพูดเนี่ยแหละ
มีกันอยู่แค่ 6 คนในห้อง นานาชาติมากๆ แต่ละคนพูดเร็วและรัว
จับใจความไม่ค่อยจะได้ เลยยังไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่นัก
รวมถึงนักศึกษาที่ทำงานตามร้านมหาลัย ก็ชอบพูดเป็นไฟเหมือนกัน
เวลาเราพูดกับเค้า เราก็ต้องพยายามใส่ accent เช่นกัน
เพราะเค้าก็เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจเราเหมือนกัน
แต่ในเมื่อเรามาที่นี่ เพราะเราอยากพัฒนาภาษา เราก็ต้องพยายามให้มากขึ้น
ใช้ชีวิตให้คุ้ม ที่แม่ส่งให้มาเรียน
ถึงแม้จะคิดถึงแม่ คิดถึงบ้านมากก็ตาม
Keep Fighting✌️
การเดินทางที่แสนยาวนาน
หลังจากที่ดำเนินการเรื่องเรียนต่อมาเนิ่นนานน
และแล้ววันนี้ ก็มาถึง แต่ทำไมรู้สึกว่ายังไม่พร้อม
แบบนี้เค้าเรียกว่า ป๊อด รึป่าว
เครื่องออก 20.35 แม่ให้ออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายโมง
เผื่อเวลาแบบรถชนยังไปทัน
ไปถึงสนามบินประมาณบ่าย 3 คิดว่าเร็วแล้ว
แต่บิ๊กดันไปถึงก่อนเรา ตามมาด้วยปิงกับมี้ และป้าแอ๊ด
สองคนนั้นรับตำแหน่งเพื่อนกิตติมศักดิ์ไป
เพราะได้ร่วมจัดและรื้อค้นกระเป๋าทุกใบของเราใหม่ กลางสนามบิน
วุ่นวายเป็นอันมาก กว่าจะเรียบร้อย เหนื่อยจิงๆ
((รูปในกล้องบิ๊กไม่มีรูปรวมครอบครัวที่มีพ่อเลย เศร้าจัง))
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มาส่งกันเยอะมาก ดีใจมากจิงๆ
ทั้งครีมมี่ เพื่อน 6/6 เพื่อน ICT พี่ๆน้องๆที่ DST มากันพร้อมหน้า
กำลังใจเต็มเปี่ยม พร้อมออกเดินทางเต็มที่
และแล้วก็ถึงเวลาร่ำลา แต่เรายังมีทศสึไปส่งถึงเกทตามธรรมเนียม
การเดินทางไกลครั้งนี้ ไม่ว้าหว่ เพราะมีมิ้นท์ กับเซโกะไปด้วยกัน
พวกเราเดินทางโดยสายการบิน Etihad
นั่งกัน 3 คนริมหน้าต่าง ตรงกับปีกเครื่องบินพอดี๊พอดี
ผู้โดยสารส่วนมากก็เป็นแขก แต่กลิ่นบนเครื่องก็ไม่ได้แรงสมคำร่ำลือ
แต่แถวที่นั่งอยู่ติดกันไปหน่อย ไม่ค่อยมีพื้นที่วางขา แอบอึดอัดเล็กๆ
ขึ้นเครื่องไปถึงก็หิวมากกกก
เพราะตอนอยู่สนามบินวุ่นวายมาก จนไม่ได้กินอะไร
โชคดีที่เซโกะ ลอคอินเข้าไปสั่ง special meal เอาไว้
ทำให้พวกเราได้อาหารก่อนผู้โดยสารคนอื่นๆ
เราสั่งเป็น seafood อาหารก้อนับว่าพอใช้ได้ จานหลักคล้ายๆจะเป็นปลาผัดขิง
แต่ที่ประทับใจสุดคือ น้ำมะม่วง อร่อยมั่ก ไม่รู้ยี่ห้ออะไร อยากกินอีกจัง
หลังจากกินเสร็จ เราก้อนอนยาว ด้วยความเพลีย
ตื่นมาก็ตอนจะใกล้ถึงจุดหมายแรก สนามบินอาบูดาบี ณ ประเทศ UAE
ลงจากเครื่องตอนประมาณเที่ยงคืน
มาเจอกับกลุ่มคนมหาศาล พวกเรามาต่อคิวตรวจของอีกครั้ง
ก่อนเข้าไปนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องอีกครั้งตอนตี 2 ครึ่ง
ทุกอย่างเรียบร้อยดี เราเลยเหลือมานั่งรอที่หน้าเกทเป็น ชม.
จะซื้อน้ำ ก้อซื้อไม่ได้ ในตัวมีแต่เงินไทยกับเงินปอนด์ :(
ยังดีที่มีเน็ตให้เล่น เลยมีอะไรทำตอนนั่งรอง่อยๆ
พอใกล้ถึงเวลาเราก็ต่อแถวขึ้นเครื่องไปลอนดอน
คนเต็มเครื่องเหมือนเดิม แต่เครื่องที่สอง เราเดินผ่าน business class
เห็นที่นั่งแล้วอิจฉามาก อยากยืดขาบ้าง
เราเดินทางจาก อาบูดาบีไปฮีทโทรว ใช้เวลาอีก 7 ชม.
หลังจากเครื่องขึ้นได้ซักพัก เราก็นอนต่อ
นอนมาต่อเนื่อง จนไม่ง่วง ตื่นมาเพิ่งได้ 1 ใน 3 ของระยะทางทั้งหมด
นั่งดู Star Trek2 (อีกครั้ง) ความเศร้าคือ ไม่มีซับไทย แม้แต่ซับ Eng ก้อไม่มี
ขนาดเคยดูมาแล้วรอบนึง ยังจำอะไรไม่ค่อยจะได้ 555
ดูไปเรื่อยๆ พอใกล้จะ climax อาหารมื้อสุดท้ายบนเครื่องก็มาเสิร์ฟ
ได้กินก่อนคนอื่นเหมือนเคย คราวนี้เป็น Omelet รสชาติใช้ได้ แต่แอบเลี่ยนนิสนึง
กินเสร็จ ดูหนังต่อ พอใกล้จบ หนังโดนตัด เพราะว่า..
ในที่สุด .. .
เรากำลังจะถึงลอนดอนแล้วววววว
เวลาประมาณ 7 นาฬิกากว่าๆ ของวันเสาร์ที่ 14 กันยายน
เราสามคนเดินทางได้ลงมาเหยียบประเทศอังกฤษโดยสวัสดิภาพ
กับข้าวของแสนพะรุงพะรังของพวกเราทั้งสามคน
พอเดินออกจากเกทได้ซักพัก ก็มาเจอกับแถว ตม ยาวเหยียด
ต่อไปต่อมา พอใกล้ๆ ถึงเพิ่งรู้ว่า แถวนักเรียนที่มาครั้งแรกอยู่อีกแถว
แล้วต้องกรอกเอกสาร และเตรียมเอกสารไปแสดงด้วย
สภาพพวกเราจึงเป็นอย่างรูปข้างล่างนี้
ตม. ถามคำถามแค่สองสามคำถาม เกี่ยวกับคอร์สที่จะเรียน
แล้วก้อปล่อยเราผ่านข้ามประเทศ :)
และแล้วเราก้อมาถึงอังกฤษโดยสมบูรณ์
เวลาตอนนั้นคงประมาณ 8โมงกว่าๆ
แต่ปัญหาคือ เราจองรถโค้ชไป Norwich ไว้ตอน 12.50
ออกไปนอกสนามบินก้าวแรก หนาวมากกก พูดแล้วควันออกปาก
คิดไปคิดมา ต้องรออีกน๊านนานน ลองไปขอเลื่อนรอบรถดูดีกว่า
และแล้วเค้าก็ยอมให้พวกเราเลื่อนรอบได้ เป็นรอบ 10.30
โดนค่าเปลี่ยนรถไป 5 ปอนด์ แต่ก็ยอม ดีกว่านั่งแกร่วอีกหลาย ชม.

ระหว่างที่รอรถ ก็ผลัดกันไปล้างหน้า แปรงฟัน
และนั่งรถเข็นกินขนมปังทูน่า ที่ได้มาจากเครื่องบิน อยู่หน้าห้องน้ำนั่นแหละ
จนถึงเวลาขึ้นรถ พวกเรานั่งยาวสุดสาย
เส้นทางสองข้างทาง ก็แทบจะไม่เจอเมืองเลย
มีแต่ที่โล่ง เหมือนจะเป็นไร่ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวไป ตลอดทาง
หลับๆตื่นๆ เพราะไม่มีอะไรจะทำ
จนกระทั่งถึง เมืองแคมบริจน์ ที่พวกเราดูจะได้เข้าเมือง
เจอผู้คนที่ข้างทางบ้าง ตึกรามบ้านช่องดูสวยแปลกตา
ผ่าน University of Cambridge คนที่เดินอยู่แถวนั้นล้วนหน้าตาดูมีความรู้
เหมือนเป็นอีกโลกที่ต่างกับบ้านเมืองของเราโดยสิ้นเชิง
ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด
เรานั่งรถต่อมาอีกไม่นาน ก็มาถึงเมือง Norwich
และ ในที่สุด หลังจากการนั่งรถอย่างยาวนานนน ถึง 6 ชม.
เพราะรถดีเลย์ไป ชม. นึง เราก็เริ่มเห็นป้ายชี้ทางไป UEA จุดหมายของพวกเรา
เย้ เยยยย มหาลัยของเรา ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
นั่งเครื่อง นั่งรถจนก้นแฉะ กับการเดินทางที่ยาวนานเป็นวัน
พอมาถึง พวกเราก็ลากกระเป๋า คนละ 3 ใบหนักๆ ลงมาจากรถ
แล้วก็ลงมายืนงง ไม่รู้ว่าต้องไปต่อทางไหน
เท่าที่รู้คือ เราต้องหา Security Lodge เพื่อไปรับกุญแจห้อง
เพราะเราไปถึงวันเสาร์ ไม่มี Accommodation Staff มาคอยดูแล เราจึงต้องดูแลตัวเอง
ลงรถมา ไม่เจอผู้คน เหมือนมหาลัยร้าง เราจึงพุ่งตรงไปหาแผนที่
แต่ก็มีผู้ชายคนนึง ที่นั่งรถมาด้วยกัน ถามพวกเราว่า เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกรึป่าว
เค้าก็ช่วยนำทางเราไปที่ Security Lodge ซึ่งต้องเดินขึ้นเนินไปไกลมากกก
เค้าเดินนำเราไปลิ่วๆ ทั้งๆที่เค้ามีกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบ
ณ จุดนั้น อยากเป็นผู้ชายมาก พูดเลย
พอมาถึง Security Lodge เค้าก็แนะนำตัวว่า ชื่อวิน มาจากเวียดนาม
พร้อมทั้งบอกข่าวร้ายว่า หอของพวกเรา อยู่เลยจุดที่เราลงรถมา
ซึ่งหมายความว่า เราต้องลากกระเป๋าลงเนินกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง
โอว มาย ก้อดดดดด น่าจะเล่นกล้ามก่อนมา
ถ้าจะต้องแบกลากของทั้งหมด 50กว่าโล เดินไปขึ้นลงเนินไปๆมาๆขนาดนี้
เดินงงๆ หาหออีกซักพัก แถมในใบห้องพักไม่บอกอีกว่าห้องอยู่ชั้นไหน
ก้อต้องเดินงงๆ หาห้องต่ออีก ชีวิตคือการค้นหาจริงๆ
ในที่สุดก็หาห้องเจอ ห้องหมายเลข 72 ชั้น 3 ตึก Constable Terrace
สิ้นสุดการเดินทางซักที ในที่สุดเราก็ถึงที่พักซักที
พร้อมกับความหิวระดับ max
ณ จุดนี้ ไม่ต้องการอาหารระดับภัตราคาร
มาม่าต้มยำ คือที่สุด ฟินสุดละจุดนี้
นั่งกินกันบนพื้น เพราะไม่มีโต๊ะ ใช้ชีวิตกันแบบผู้ดีอังกฤษสุดๆ
แถมมีอีกข่าวร้าย คือ ชุดเครื่องนอนที่พวกเราสั่งไปไม่มาส่งที่ห้อง
ออกไปคนคุมหอ ก้อไม่เจอซักคน แถมที่ร้านปิดวันเสาร์อาทิตย์
ฮีตเตอร์ ก็เครื่องเล็กมาก มีลมร้อนออกมาแค่เหนือเครื่องประมาณ 5 ซม
ไม่ได้ช่วยอะไรเล๊ยยยยย
คืนนี้ เราเลยต้องนอนทนหนาวกัน ห่มผ้าเช็ดตัว
ตื่นมาหลายรอบ มาใส่เสื้อเพิ่ม เพราะทนหนาวไม่ไหว
จนสุดท้าย ไปๆมาๆ ใส่ไป 4 ชั้น
และก็ถึงเวลาพักผ่อนซักที หลังจากการเดินทางที่แสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย
เราก็ได้มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ . .. University of East Anglia (UEA)
และอีก 1 ปี ต่อจากนี้ ที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
หนึ่งปี แห่งการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลง ตื่นเต้นกับมันจริงๆ
: )
การเดินทางที่แสนยาวนาน
หลังจากที่ดำเนินการเรื่องเรียนต่อมาเนิ่นนานน
และแล้ววันนี้ ก็มาถึง แต่ทำไมรู้สึกว่ายังไม่พร้อม
แบบนี้เค้าเรียกว่า ป๊อด รึป่าว
เครื่องออก 20.35 แม่ให้ออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายโมง
เผื่อเวลาแบบรถชนยังไปทัน
ไปถึงสนามบินประมาณบ่าย 3 คิดว่าเร็วแล้ว
แต่บิ๊กดันไปถึงก่อนเรา ตามมาด้วยปิงกับมี้ และป้าแอ๊ด
สองคนนั้นรับตำแหน่งเพื่อนกิตติมศักดิ์ไป
เพราะได้ร่วมจัดและรื้อค้นกระเป๋าทุกใบของเราใหม่ กลางสนามบิน
วุ่นวายเป็นอันมาก กว่าจะเรียบร้อย เหนื่อยจิงๆ
((รูปในกล้องบิ๊กไม่มีรูปรวมครอบครัวที่มีพ่อเลย เศร้าจัง))
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มาส่งกันเยอะมาก ดีใจมากจิงๆ
ทั้งครีมมี่ เพื่อน 6/6 เพื่อน ICT พี่ๆน้องๆที่ DST มากันพร้อมหน้า
กำลังใจเต็มเปี่ยม พร้อมออกเดินทางเต็มที่
และแล้วก็ถึงเวลาร่ำลา แต่เรายังมีทศสึไปส่งถึงเกทตามธรรมเนียม
การเดินทางไกลครั้งนี้ ไม่ว้าหว่ เพราะมีมิ้นท์ กับเซโกะไปด้วยกัน
พวกเราเดินทางโดยสายการบิน Etihad
นั่งกัน 3 คนริมหน้าต่าง ตรงกับปีกเครื่องบินพอดี๊พอดี
ผู้โดยสารส่วนมากก็เป็นแขก แต่กลิ่นบนเครื่องก็ไม่ได้แรงสมคำร่ำลือ
แต่แถวที่นั่งอยู่ติดกันไปหน่อย ไม่ค่อยมีพื้นที่วางขา แอบอึดอัดเล็กๆ
ขึ้นเครื่องไปถึงก็หิวมากกกก
เพราะตอนอยู่สนามบินวุ่นวายมาก จนไม่ได้กินอะไร
โชคดีที่เซโกะ ลอคอินเข้าไปสั่ง special meal เอาไว้
ทำให้พวกเราได้อาหารก่อนผู้โดยสารคนอื่นๆ
เราสั่งเป็น seafood อาหารก้อนับว่าพอใช้ได้ จานหลักคล้ายๆจะเป็นปลาผัดขิง
แต่ที่ประทับใจสุดคือ น้ำมะม่วง อร่อยมั่ก ไม่รู้ยี่ห้ออะไร อยากกินอีกจัง
หลังจากกินเสร็จ เราก้อนอนยาว ด้วยความเพลีย
ตื่นมาก็ตอนจะใกล้ถึงจุดหมายแรก สนามบินอาบูดาบี ณ ประเทศ UAE
ลงจากเครื่องตอนประมาณเที่ยงคืน
มาเจอกับกลุ่มคนมหาศาล พวกเรามาต่อคิวตรวจของอีกครั้ง
ก่อนเข้าไปนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องอีกครั้งตอนตี 2 ครึ่ง
ทุกอย่างเรียบร้อยดี เราเลยเหลือมานั่งรอที่หน้าเกทเป็น ชม.
จะซื้อน้ำ ก้อซื้อไม่ได้ ในตัวมีแต่เงินไทยกับเงินปอนด์ :(
ยังดีที่มีเน็ตให้เล่น เลยมีอะไรทำตอนนั่งรอง่อยๆ
พอใกล้ถึงเวลาเราก็ต่อแถวขึ้นเครื่องไปลอนดอน
คนเต็มเครื่องเหมือนเดิม แต่เครื่องที่สอง เราเดินผ่าน business class
เห็นที่นั่งแล้วอิจฉามาก อยากยืดขาบ้าง
เราเดินทางจาก อาบูดาบีไปฮีทโทรว ใช้เวลาอีก 7 ชม.
หลังจากเครื่องขึ้นได้ซักพัก เราก็นอนต่อ
นอนมาต่อเนื่อง จนไม่ง่วง ตื่นมาเพิ่งได้ 1 ใน 3 ของระยะทางทั้งหมด
นั่งดู Star Trek2 (อีกครั้ง) ความเศร้าคือ ไม่มีซับไทย แม้แต่ซับ Eng ก้อไม่มี
ขนาดเคยดูมาแล้วรอบนึง ยังจำอะไรไม่ค่อยจะได้ 555
ดูไปเรื่อยๆ พอใกล้จะ climax อาหารมื้อสุดท้ายบนเครื่องก็มาเสิร์ฟ
ได้กินก่อนคนอื่นเหมือนเคย คราวนี้เป็น Omelet รสชาติใช้ได้ แต่แอบเลี่ยนนิสนึง
กินเสร็จ ดูหนังต่อ พอใกล้จบ หนังโดนตัด เพราะว่า..
ในที่สุด .. .
เรากำลังจะถึงลอนดอนแล้วววววว
เวลาประมาณ 7 นาฬิกากว่าๆ ของวันเสาร์ที่ 14 กันยายน
เราสามคนเดินทางได้ลงมาเหยียบประเทศอังกฤษโดยสวัสดิภาพ
กับข้าวของแสนพะรุงพะรังของพวกเราทั้งสามคน
พอเดินออกจากเกทได้ซักพัก ก็มาเจอกับแถว ตม ยาวเหยียด
ต่อไปต่อมา พอใกล้ๆ ถึงเพิ่งรู้ว่า แถวนักเรียนที่มาครั้งแรกอยู่อีกแถว
แล้วต้องกรอกเอกสาร และเตรียมเอกสารไปแสดงด้วย
สภาพพวกเราจึงเป็นอย่างรูปข้างล่างนี้
ตม. ถามคำถามแค่สองสามคำถาม เกี่ยวกับคอร์สที่จะเรียน
แล้วก้อปล่อยเราผ่านข้ามประเทศ :)
และแล้วเราก้อมาถึงอังกฤษโดยสมบูรณ์
เวลาตอนนั้นคงประมาณ 8โมงกว่าๆ
แต่ปัญหาคือ เราจองรถโค้ชไป Norwich ไว้ตอน 12.50
ออกไปนอกสนามบินก้าวแรก หนาวมากกก พูดแล้วควันออกปาก
คิดไปคิดมา ต้องรออีกน๊านนานน ลองไปขอเลื่อนรอบรถดูดีกว่า
และแล้วเค้าก็ยอมให้พวกเราเลื่อนรอบได้ เป็นรอบ 10.30
โดนค่าเปลี่ยนรถไป 5 ปอนด์ แต่ก็ยอม ดีกว่านั่งแกร่วอีกหลาย ชม.

ระหว่างที่รอรถ ก็ผลัดกันไปล้างหน้า แปรงฟัน
และนั่งรถเข็นกินขนมปังทูน่า ที่ได้มาจากเครื่องบิน อยู่หน้าห้องน้ำนั่นแหละ
จนถึงเวลาขึ้นรถ พวกเรานั่งยาวสุดสาย
เส้นทางสองข้างทาง ก็แทบจะไม่เจอเมืองเลย
มีแต่ที่โล่ง เหมือนจะเป็นไร่ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวไป ตลอดทาง
หลับๆตื่นๆ เพราะไม่มีอะไรจะทำ
จนกระทั่งถึง เมืองแคมบริจน์ ที่พวกเราดูจะได้เข้าเมือง
เจอผู้คนที่ข้างทางบ้าง ตึกรามบ้านช่องดูสวยแปลกตา
ผ่าน University of Cambridge คนที่เดินอยู่แถวนั้นล้วนหน้าตาดูมีความรู้
เหมือนเป็นอีกโลกที่ต่างกับบ้านเมืองของเราโดยสิ้นเชิง
ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด
เรานั่งรถต่อมาอีกไม่นาน ก็มาถึงเมือง Norwich
และ ในที่สุด หลังจากการนั่งรถอย่างยาวนานนน ถึง 6 ชม.
เพราะรถดีเลย์ไป ชม. นึง เราก็เริ่มเห็นป้ายชี้ทางไป UEA จุดหมายของพวกเรา
เย้ เยยยย มหาลัยของเรา ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
นั่งเครื่อง นั่งรถจนก้นแฉะ กับการเดินทางที่ยาวนานเป็นวัน
พอมาถึง พวกเราก็ลากกระเป๋า คนละ 3 ใบหนักๆ ลงมาจากรถ
แล้วก็ลงมายืนงง ไม่รู้ว่าต้องไปต่อทางไหน
เท่าที่รู้คือ เราต้องหา Security Lodge เพื่อไปรับกุญแจห้อง
เพราะเราไปถึงวันเสาร์ ไม่มี Accommodation Staff มาคอยดูแล เราจึงต้องดูแลตัวเอง
ลงรถมา ไม่เจอผู้คน เหมือนมหาลัยร้าง เราจึงพุ่งตรงไปหาแผนที่
แต่ก็มีผู้ชายคนนึง ที่นั่งรถมาด้วยกัน ถามพวกเราว่า เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกรึป่าว
เค้าก็ช่วยนำทางเราไปที่ Security Lodge ซึ่งต้องเดินขึ้นเนินไปไกลมากกก
เค้าเดินนำเราไปลิ่วๆ ทั้งๆที่เค้ามีกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบ
ณ จุดนั้น อยากเป็นผู้ชายมาก พูดเลย
พอมาถึง Security Lodge เค้าก็แนะนำตัวว่า ชื่อวิน มาจากเวียดนาม
พร้อมทั้งบอกข่าวร้ายว่า หอของพวกเรา อยู่เลยจุดที่เราลงรถมา
ซึ่งหมายความว่า เราต้องลากกระเป๋าลงเนินกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง
โอว มาย ก้อดดดดด น่าจะเล่นกล้ามก่อนมา
ถ้าจะต้องแบกลากของทั้งหมด 50กว่าโล เดินไปขึ้นลงเนินไปๆมาๆขนาดนี้
เดินงงๆ หาหออีกซักพัก แถมในใบห้องพักไม่บอกอีกว่าห้องอยู่ชั้นไหน
ก้อต้องเดินงงๆ หาห้องต่ออีก ชีวิตคือการค้นหาจริงๆ
ในที่สุดก็หาห้องเจอ ห้องหมายเลข 72 ชั้น 3 ตึก Constable Terrace
สิ้นสุดการเดินทางซักที ในที่สุดเราก็ถึงที่พักซักที
พร้อมกับความหิวระดับ max
ณ จุดนี้ ไม่ต้องการอาหารระดับภัตราคาร
มาม่าต้มยำ คือที่สุด ฟินสุดละจุดนี้
นั่งกินกันบนพื้น เพราะไม่มีโต๊ะ ใช้ชีวิตกันแบบผู้ดีอังกฤษสุดๆ
แถมมีอีกข่าวร้าย คือ ชุดเครื่องนอนที่พวกเราสั่งไปไม่มาส่งที่ห้อง
ออกไปคนคุมหอ ก้อไม่เจอซักคน แถมที่ร้านปิดวันเสาร์อาทิตย์
ฮีตเตอร์ ก็เครื่องเล็กมาก มีลมร้อนออกมาแค่เหนือเครื่องประมาณ 5 ซม
ไม่ได้ช่วยอะไรเล๊ยยยยย
คืนนี้ เราเลยต้องนอนทนหนาวกัน ห่มผ้าเช็ดตัว
ตื่นมาหลายรอบ มาใส่เสื้อเพิ่ม เพราะทนหนาวไม่ไหว
จนสุดท้าย ไปๆมาๆ ใส่ไป 4 ชั้น
และก็ถึงเวลาพักผ่อนซักที หลังจากการเดินทางที่แสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย
เราก็ได้มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ . .. University of East Anglia (UEA)
และอีก 1 ปี ต่อจากนี้ ที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
หนึ่งปี แห่งการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลง ตื่นเต้นกับมันจริงๆ
: )
การเดินทางที่แสนยาวนาน
หลังจากที่ดำเนินการเรื่องเรียนต่อมาเนิ่นนานน
และแล้ววันนี้ ก็มาถึง แต่ทำไมรู้สึกว่ายังไม่พร้อม
แบบนี้เค้าเรียกว่า ป๊อด รึป่าว
เครื่องออก 20.35 แม่ให้ออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายโมง
เผื่อเวลาแบบรถชนยังไปทัน
ไปถึงสนามบินประมาณบ่าย 3 คิดว่าเร็วแล้ว
แต่บิ๊กดันไปถึงก่อนเรา ตามมาด้วยปิงกับมี้ และป้าแอ๊ด
สองคนนั้นรับตำแหน่งเพื่อนกิตติมศักดิ์ไป
เพราะได้ร่วมจัดและรื้อค้นกระเป๋าทุกใบของเราใหม่ กลางสนามบิน
วุ่นวายเป็นอันมาก กว่าจะเรียบร้อย เหนื่อยจิงๆ
((รูปในกล้องบิ๊กไม่มีรูปรวมครอบครัวที่มีพ่อเลย เศร้าจัง))
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มาส่งกันเยอะมาก ดีใจมากจิงๆ
ทั้งครีมมี่ เพื่อน 6/6 เพื่อน ICT พี่ๆน้องๆที่ DST มากันพร้อมหน้า
กำลังใจเต็มเปี่ยม พร้อมออกเดินทางเต็มที่
และแล้วก็ถึงเวลาร่ำลา แต่เรายังมีทศสึไปส่งถึงเกทตามธรรมเนียม
การเดินทางไกลครั้งนี้ ไม่ว้าหว่ เพราะมีมิ้นท์ กับเซโกะไปด้วยกัน
พวกเราเดินทางโดยสายการบิน Etihad
นั่งกัน 3 คนริมหน้าต่าง ตรงกับปีกเครื่องบินพอดี๊พอดี
ผู้โดยสารส่วนมากก็เป็นแขก แต่กลิ่นบนเครื่องก็ไม่ได้แรงสมคำร่ำลือ
แต่แถวที่นั่งอยู่ติดกันไปหน่อย ไม่ค่อยมีพื้นที่วางขา แอบอึดอัดเล็กๆ
ขึ้นเครื่องไปถึงก็หิวมากกกก
เพราะตอนอยู่สนามบินวุ่นวายมาก จนไม่ได้กินอะไร
โชคดีที่เซโกะ ลอคอินเข้าไปสั่ง special meal เอาไว้
ทำให้พวกเราได้อาหารก่อนผู้โดยสารคนอื่นๆ
เราสั่งเป็น seafood อาหารก้อนับว่าพอใช้ได้ จานหลักคล้ายๆจะเป็นปลาผัดขิง
แต่ที่ประทับใจสุดคือ น้ำมะม่วง อร่อยมั่ก ไม่รู้ยี่ห้ออะไร อยากกินอีกจัง
หลังจากกินเสร็จ เราก้อนอนยาว ด้วยความเพลีย
ตื่นมาก็ตอนจะใกล้ถึงจุดหมายแรก สนามบินอาบูดาบี ณ ประเทศ UAE
ลงจากเครื่องตอนประมาณเที่ยงคืน
มาเจอกับกลุ่มคนมหาศาล พวกเรามาต่อคิวตรวจของอีกครั้ง
ก่อนเข้าไปนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องอีกครั้งตอนตี 2 ครึ่ง
ทุกอย่างเรียบร้อยดี เราเลยเหลือมานั่งรอที่หน้าเกทเป็น ชม.
จะซื้อน้ำ ก้อซื้อไม่ได้ ในตัวมีแต่เงินไทยกับเงินปอนด์ :(
ยังดีที่มีเน็ตให้เล่น เลยมีอะไรทำตอนนั่งรอง่อยๆ
พอใกล้ถึงเวลาเราก็ต่อแถวขึ้นเครื่องไปลอนดอน
คนเต็มเครื่องเหมือนเดิม แต่เครื่องที่สอง เราเดินผ่าน business class
เห็นที่นั่งแล้วอิจฉามาก อยากยืดขาบ้าง
เราเดินทางจาก อาบูดาบีไปฮีทโทรว ใช้เวลาอีก 7 ชม.
หลังจากเครื่องขึ้นได้ซักพัก เราก็นอนต่อ
นอนมาต่อเนื่อง จนไม่ง่วง ตื่นมาเพิ่งได้ 1 ใน 3 ของระยะทางทั้งหมด
นั่งดู Star Trek2 (อีกครั้ง) ความเศร้าคือ ไม่มีซับไทย แม้แต่ซับ Eng ก้อไม่มี
ขนาดเคยดูมาแล้วรอบนึง ยังจำอะไรไม่ค่อยจะได้ 555
ดูไปเรื่อยๆ พอใกล้จะ climax อาหารมื้อสุดท้ายบนเครื่องก็มาเสิร์ฟ
ได้กินก่อนคนอื่นเหมือนเคย คราวนี้เป็น Omelet รสชาติใช้ได้ แต่แอบเลี่ยนนิสนึง
กินเสร็จ ดูหนังต่อ พอใกล้จบ หนังโดนตัด เพราะว่า..
ในที่สุด .. .
เรากำลังจะถึงลอนดอนแล้วววววว
เวลาประมาณ 7 นาฬิกากว่าๆ ของวันเสาร์ที่ 14 กันยายน
เราสามคนเดินทางได้ลงมาเหยียบประเทศอังกฤษโดยสวัสดิภาพ
กับข้าวของแสนพะรุงพะรังของพวกเราทั้งสามคน
พอเดินออกจากเกทได้ซักพัก ก็มาเจอกับแถว ตม ยาวเหยียด
ต่อไปต่อมา พอใกล้ๆ ถึงเพิ่งรู้ว่า แถวนักเรียนที่มาครั้งแรกอยู่อีกแถว
แล้วต้องกรอกเอกสาร และเตรียมเอกสารไปแสดงด้วย
สภาพพวกเราจึงเป็นอย่างรูปข้างล่างนี้
ตม. ถามคำถามแค่สองสามคำถาม เกี่ยวกับคอร์สที่จะเรียน
แล้วก้อปล่อยเราผ่านข้ามประเทศ :)
และแล้วเราก้อมาถึงอังกฤษโดยสมบูรณ์
เวลาตอนนั้นคงประมาณ 8โมงกว่าๆ
แต่ปัญหาคือ เราจองรถโค้ชไป Norwich ไว้ตอน 12.50
ออกไปนอกสนามบินก้าวแรก หนาวมากกก พูดแล้วควันออกปาก
คิดไปคิดมา ต้องรออีกน๊านนานน ลองไปขอเลื่อนรอบรถดูดีกว่า
และแล้วเค้าก็ยอมให้พวกเราเลื่อนรอบได้ เป็นรอบ 10.30
โดนค่าเปลี่ยนรถไป 5 ปอนด์ แต่ก็ยอม ดีกว่านั่งแกร่วอีกหลาย ชม.

ระหว่างที่รอรถ ก็ผลัดกันไปล้างหน้า แปรงฟัน
และนั่งรถเข็นกินขนมปังทูน่า ที่ได้มาจากเครื่องบิน อยู่หน้าห้องน้ำนั่นแหละ
จนถึงเวลาขึ้นรถ พวกเรานั่งยาวสุดสาย
เส้นทางสองข้างทาง ก็แทบจะไม่เจอเมืองเลย
มีแต่ที่โล่ง เหมือนจะเป็นไร่ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวไป ตลอดทาง
หลับๆตื่นๆ เพราะไม่มีอะไรจะทำ
จนกระทั่งถึง เมืองแคมบริจน์ ที่พวกเราดูจะได้เข้าเมือง
เจอผู้คนที่ข้างทางบ้าง ตึกรามบ้านช่องดูสวยแปลกตา
ผ่าน University of Cambridge คนที่เดินอยู่แถวนั้นล้วนหน้าตาดูมีความรู้
เหมือนเป็นอีกโลกที่ต่างกับบ้านเมืองของเราโดยสิ้นเชิง
ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด
เรานั่งรถต่อมาอีกไม่นาน ก็มาถึงเมือง Norwich
และ ในที่สุด หลังจากการนั่งรถอย่างยาวนานนน ถึง 6 ชม.
เพราะรถดีเลย์ไป ชม. นึง เราก็เริ่มเห็นป้ายชี้ทางไป UEA จุดหมายของพวกเรา
เย้ เยยยย มหาลัยของเรา ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
นั่งเครื่อง นั่งรถจนก้นแฉะ กับการเดินทางที่ยาวนานเป็นวัน
พอมาถึง พวกเราก็ลากกระเป๋า คนละ 3 ใบหนักๆ ลงมาจากรถ
แล้วก็ลงมายืนงง ไม่รู้ว่าต้องไปต่อทางไหน
เท่าที่รู้คือ เราต้องหา Security Lodge เพื่อไปรับกุญแจห้อง
เพราะเราไปถึงวันเสาร์ ไม่มี Accommodation Staff มาคอยดูแล เราจึงต้องดูแลตัวเอง
ลงรถมา ไม่เจอผู้คน เหมือนมหาลัยร้าง เราจึงพุ่งตรงไปหาแผนที่
แต่ก็มีผู้ชายคนนึง ที่นั่งรถมาด้วยกัน ถามพวกเราว่า เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกรึป่าว
เค้าก็ช่วยนำทางเราไปที่ Security Lodge ซึ่งต้องเดินขึ้นเนินไปไกลมากกก
เค้าเดินนำเราไปลิ่วๆ ทั้งๆที่เค้ามีกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบ
ณ จุดนั้น อยากเป็นผู้ชายมาก พูดเลย
พอมาถึง Security Lodge เค้าก็แนะนำตัวว่า ชื่อวิน มาจากเวียดนาม
พร้อมทั้งบอกข่าวร้ายว่า หอของพวกเรา อยู่เลยจุดที่เราลงรถมา
ซึ่งหมายความว่า เราต้องลากกระเป๋าลงเนินกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง
โอว มาย ก้อดดดดด น่าจะเล่นกล้ามก่อนมา
ถ้าจะต้องแบกลากของทั้งหมด 50กว่าโล เดินไปขึ้นลงเนินไปๆมาๆขนาดนี้
เดินงงๆ หาหออีกซักพัก แถมในใบห้องพักไม่บอกอีกว่าห้องอยู่ชั้นไหน
ก้อต้องเดินงงๆ หาห้องต่ออีก ชีวิตคือการค้นหาจริงๆ
ในที่สุดก็หาห้องเจอ ห้องหมายเลข 72 ชั้น 3 ตึก Constable Terrace
สิ้นสุดการเดินทางซักที ในที่สุดเราก็ถึงที่พักซักที
พร้อมกับความหิวระดับ max
ณ จุดนี้ ไม่ต้องการอาหารระดับภัตราคาร
มาม่าต้มยำ คือที่สุด ฟินสุดละจุดนี้
นั่งกินกันบนพื้น เพราะไม่มีโต๊ะ ใช้ชีวิตกันแบบผู้ดีอังกฤษสุดๆ
แถมมีอีกข่าวร้าย คือ ชุดเครื่องนอนที่พวกเราสั่งไปไม่มาส่งที่ห้อง
ออกไปคนคุมหอ ก้อไม่เจอซักคน แถมที่ร้านปิดวันเสาร์อาทิตย์
ฮีตเตอร์ ก็เครื่องเล็กมาก มีลมร้อนออกมาแค่เหนือเครื่องประมาณ 5 ซม
ไม่ได้ช่วยอะไรเล๊ยยยยย
คืนนี้ เราเลยต้องนอนทนหนาวกัน ห่มผ้าเช็ดตัว
ตื่นมาหลายรอบ มาใส่เสื้อเพิ่ม เพราะทนหนาวไม่ไหว
จนสุดท้าย ไปๆมาๆ ใส่ไป 4 ชั้น
และก็ถึงเวลาพักผ่อนซักที หลังจากการเดินทางที่แสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย
เราก็ได้มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ . .. University of East Anglia (UEA)
และอีก 1 ปี ต่อจากนี้ ที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
หนึ่งปี แห่งการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลง ตื่นเต้นกับมันจริงๆ
: )
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)