เหนื่อยก็พัก ไม่รักก็พอ




บอกกับใจตัวเองว่าเหนื่อยก็พัก ถ้าเขาไม่รักก็พอ
ไม่ต้องคาดหวังไม่ต้องนั่งรอให้มันท้อหัวใจ
บอกกับใจตัวเองว่าพอแล้วนะ จะรักเขามากเท่าไร
ถ้าเขาไม่รักถ้าหากเขาไม่ใส่ใจ ปล่อยให้เขานั้นไปดีกว่า

ทำอะไรให้เขาก็มองข้าม
นานเท่าไรที่ต้องคอยวิ่งตาม
ทำอย่างนั้นเพื่อใคร มันก็คงจะถึงวันสิ้นสุด
พอเรามาทบทวนว่าควรหยุด หยุดที่จะเสียใจ



Norwich city trip



วันศุกร์แรกที่สหราชอาณาจักร หลังจากเรียน Java refresher จบ
พวกเรา (คิดว่าตัวเอง) ว่าง เลยชักชวนกันออกไปเทียวในเมือง
หลังจากปล่อยเซโกะเข้าไปผจญภัยคนเดียวหลายวัน
ตอนนี้ สมัครบัตรถเมล์ของ First แบบรายปีเรียบร้อยแล้ว
ค่าบัตร 215 ปอนด์ บวกค่าประกันบัตรหายอีก 25 ปอนด์
ประกัน จะไม่ทำ ก็ไม่ไว้ใจตัวเอง ประวัติของหายค่อนข้างสูง
เบ็จเสร็จ 240 ปอนด์ แม่จ้าวววว !! ค่ารถเมล์ปีนึง 12,000 บาทถ้วน
แต่ถ้าไม่ทำ ก็ต้องเสียเป็นรายเที่ยว ไป-กลับ 4 ปอนด์
กับอีแค่ไม่กี่ป้าย นั่งไม่ถึงครึ่ง ชม. 200 บาท
อยากจะแนะนำให้ไปดูงาน ขสมก !!
อยู่บ้านเรานั่งหลายสิบโลก็แค่ 10-20 บาทเท่านั้น
แล้วจะบ่นไปทำไม ในเมื่อก็ต้องใช้อยู่ดี จะไม่ง้อก็ไม่ได้
ในมหาลัยมันขาดสิ่งสาธารณูปโภคทั้งหลาย ของใน shop ก็สุดแพง
โรงอาหาร ก็มีแต่เมนูเดิมๆ เอะอะๆเราจึงต้องเข้าเมือง
เน้นใช้ให้คุ้มเอาละกัน ยังไงๆก็ซื้อไปแล้ว


กลับมาเรื่องเที่ยวต่อ!

จาก UEA จะไป City Center นั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่ประการใด
เพราะเรามีรถเมล์ 3 สาย มารับจากใน ม
ทั้งสาย 25 25A และ X25 รถก็ค่อนข้างเยอะ 
เราจึงไม่ค่อยจะเสียเวลารอรถเมล์กันซักเท่าไหร่นัก

จุดหมายปลายทางแรกของเราวันนี้คือ Norwich Castle
นั่งรถเมล์เลย City Centre ไปหนึ่งป้ายถ้วน
จะเห็นปราสาท และป้อมปราการสูงๆ อยู่ด้านขวามือ
ลงรถเมล์แบบไม่ต้องลังเล ใครหาไม่เจอก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
อากาศวันนี้ ค่อนข้างหนาวน้อยกว่าวันก่อนๆ
แต่ตัวเดี๊ยน คิดว่าอยู่ข้างนอกทั้งวัน ถ้าหนาวเดี๋ยวจะแย่
เลยจะเต็ม ทั้งโค้ท และรองเท้าบูทแบบหนาๆ
สุดท้าย ร้อน เหงื่อออก ต้องถอดโค้ท ใส่เสื้อยืดเดินได้สบายๆ



เสียค่าเข้าชมปราสาทสำหรับ นศ 1 ชม  = 1 ปอนด์ถ้วน
ภายในปราสาท เป็นเหมือนห้องโถงใหญ่มากกตรงกลาง ชั้นบนเป็นระเบียง
มีทางเชื่อมไป Gallery มีภาพวาดเยอะมาก หลายจิตรกร หลายรูปแบบ
ประทับใจรูปวาด สามมิติมาก เก่งมากจิงๆ ที่วาดได้สมจริงและสวยขนาดนี้
ลงไปชั้นใต้ดิน เป็นคุกเก่า บรรยากาศวังเวง
นี่คือทั้งหมดของปราสาทนี้ เราสามารถใช้เวลา 1 ชมได้อย่างพอดี๊พอดี
แล้วก็ออกมา ส่วนด้านนอก เป็นส่วนจัดแสดงสัตว์ต่างๆที่อยู่แถบนี้
มีทั้งสัตว์ที่เหมือนๆกับประเทศเรา แล้วก็สัตว์แปลกๆของที่นี่ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เดินไปเดินมา ก็เป็นเวลาบ่ายสองพอดี ถึงเวลาของกระเพาะอาหาร
ตอนนี้ร่างกายเริ่มปรับเวลาได้แล้ว ไม่ตื่นตอน ตี4 ตี5 เหมือนช่วงมาแรกๆ
เดินวนนอกปราสาท 1 รอบ ชมวิวมุมสูงของเมือง
จากนั้น พวกเราก็เดินตามหาของกิน

อาหารมื้อส่งท้ายเซโกะกลับลอนดอน เราเลยกินหรูหน่อยวันนี้
เป็นร้านอาหารอิตาลี ชื่อ Bella Italia
มิ้นท์เสิชเจอคนแนะนำร้านนี้ ตอนเดินหาร้านอาหาร
หลังจากนั้นไม่นานก็ค้นพบว่า ร้านนี้มีหลายสาขาในนอริช
มาอยู่ที่นี่ กว่าจะสั่งอาหารได้ ต้องใช้เวลาพอสมควร
กว่าจะพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร
สุดท้าย พวกเราก็ได้พิซซ่า พาสต้า และสลัดมา
ทั้งสามอย่างอร่อยหมดเลย ประทับใจ


แต่ที่ประทับใจกว่านั้นคือ .. .
น้ำองุ่นซ่า Grapetizer 
กินแล้วรักเลย แต่หาซื้อตาม supermarket ไม่ได้
และยังคงตามหาอยู่จนถึงตอนนี้
เพราะจะให้สั่งกินตามร้านตลอดคงไม่ไหว
ขวดนิดนึง ร้อยกว่าบาท



และถึงแม้ว่า พวกเราจะอิ่มกับพิซซ่ามาก
แต่เราก้อยังอยากลองของหวานอยู่ดี เนื่องจากได้ยินมาว่า
ร้าน Patisserie Valerie เป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่
ขอจัดซักทีเลยละกัน

ร้านเค้กร้านนี้ ถ้าสั่งกลับบ้าน จะถูกกว่านั่งในร้านชิ้นละปอนด์เลย
แต่พวกเราก็เลือกนั่งกินในร้าน เพราะอยากนั่งกินรับลมด้านนอก
แต่พอเข้าไป เค้าบอกว่าโซนด้านนอกกำลังจะปิด เลยอด!!

พวกเรา 3 คนสั่งเค้ก 2  ชิ้นเพราะความอิ่มสะสม
ซึ่งถือเป็นความโชคดีมาก เพราะเค้กชิ้นใหญ่มากกก
กินกันจนจากอร่อย จนเลี่ยน
ประทับใจเค้กชิ้นด้านในมาก เนื้อเค้กเป็นแป้งพาย มีสอดไส้ครีมสด
อร่อยฝุดๆ เห็นรูปแล้วก็อยากกินอีก


หลังจากอัพรูปไป พี่บอมบ์ก็มาแนะนำเค้กอีกสองสามอย่าง
คงจะต้องหาเวลากลับไปกินอีกซักรอบ

ขอจบทริปวันนี้ไว้ที่ตรงนี้
เตรียมเข้าลอนดอนไปส่งเซโกะในวันถัดรุ่งขึ้น
เรื่องราวฝังใจ ของการขึ้นรถไฟครั้งแรกที่นี่
แล้วจะหาเวลามาอัพใหม่

: )

.
.
.

ว่าด้วยเรื่อง KFC ที่อังกฤษ!

วันก่อน นั่งรถเมล์ไป Morrisons เห็น KFC อยู่แว๊บๆ
เลยนึกอยากกิน ตอนเข้าเมืองครั้งที่ 2 เลยชวนมิ้นกับเซโกะไปกินกัน
แต่พอจะเริ่มเดิน ก้อสับสนว่าควรจะเดินไปทางไหน
เลยเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เปิด Google maps ตามหาทางไป KFC . ..

มันคือความเหมือนที่แตกต่างกับ KFC ที่เมืองไทย
สิ่งที่เหมือนก็คงจะเป็น ชื่อร้าน กับไก่ทอด!
เมนูต่างๆนานาๆ ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ไก่ทอดก็ไม่มีให้เลือกหนังกรอบ หรือหนังนุ่มแบบบ้านเรา
ชุดครอบครัว ก็มีให้เลือกน้อยกว่า แถมเครื่องเคียงไม่ค่อยหลากหลาย
สุดท้าย พวกเราได้ ชุดบัคเก็ต ไก่ 6 ชิ้น และ เฟรนฟราย 4 ห่อ
ในเซ็ต ไม่มีน้ำให้ ถ้าจะกินโค้ก ต้องสั่งขวดลิตรแยก
ใครมันจะไปกินไหว เลยจบที่ tap water ตามเคย

KFC ที่นี่ เค้าไม่มีจาน ส้อม มีด ให้เราเหมือนเมืองไทย
แถมอยากกินซอสก็ต้องขอ เพราะที่เค้าเตอร์มันมีวางให้แต่พริกไทย
พนักงาน ก็ให้มาแบบ งกๆ ต้องเดินไปขอเพิ่มอยู่หลายรอบ
เวลากิน ก้อต้องใช้มือ เพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรให้เลย
เค้าเลยมี Alcohol tissue วางไว้ให้
นับเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และแตกต่างออกไปจากที่เคย
แต่สุดท้าย ก็อิ่มอร่อย ออกจากร้าน
ถือเป็นความอร่อยที่แตกต่างละกัน
: )